Discover millions of ebooks, audiobooks, and so much more with a free trial

Only $11.99/month after trial. Cancel anytime.

ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง
ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง
ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง
Ebook156 pages22 minutes

ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง

Rating: 0 out of 5 stars

()

Read preview

About this ebook

"สงวนสิทธิ์ทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ การนําข้อความส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปใช้ต้องได้รับอนุญาตจากสํานักพิมพ์ เว้นแต่การอ้างข้อความสั้น ๆ ในบทวิจารณ์ หรือบทความ"

Languageภาษาไทย
Release dateJul 3, 2018
ISBN9781641356572
ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง
Author

Dag Heward-Mills

Bishop Dag Heward-Mills is a medical doctor by profession and the founder of the United Denominations Originating from the Lighthouse Group of Churches (UD-OLGC). The UD-OLGC comprises over three thousand churches pastored by seasoned ministers, groomed and trained in-house. Bishop Dag Heward-Mills oversees this charismatic group of denominations, which operates in over 90 different countries in Africa, Asia, Europe, the Caribbean, Australia, and North and South America. With a ministry spanning over thirty years, Dag Heward-Mills has authored several books with bestsellers including ‘The Art of Leadership’, ‘Loyalty and Disloyalty’, and ‘The Mega Church’. He is considered to be the largest publishing author in Africa, having had his books translated into over 52 languages with more than 40 million copies in print.

Related to ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง

Related ebooks

Reviews for ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง

Rating: 0 out of 5 stars
0 ratings

0 ratings0 reviews

What did you think?

Tap to rate

Review must be at least 10 words

    Book preview

    ความ หมาย ของการ เป็นผู้เลี้ยง - Dag Heward-Mills

    บทที่ 1

    ความหมายของการเป็นผู้เลี้ยง

    และ​เมื่อ​พระ​องค์​ทอด​พระ​เนตร​ฝูง​ชน​ก็​ทรง​สง​สาร​เขา​ทั้ง​หลาย เพราะ​พวก​เขา​ถูก​รัง​ควาน​และ​ไร้​ที่​พึ่ง​เหมือน​ฝูง​แกะ​ไม่​มี​ผู้​เลี้ยง

    มัทธิว 9:36

    เราไม่จำเป็นต้องติดขัดกับคำนิยามของการเป็นผู้เลี้ยง ผู้เลี้ยงคือผู้ที่นำฝูงแกะด้วยความรักและเอาใจใส่ ผู้เลี้ยงคือคนที่พระเจ้าได้เรียกให้ดูแลฝูงแกะ

    ในพระคัมภีร์ ประชากรของพระเจ้าถูกเรียกว่าเป็นฝูงแกะและพระองค์ทรงตั้งคนทั้งหลายที่พระองค์เรียกว่าเป็นผู้เลี้ยงให้ดูแลฝูงแกะ พระเจ้าไม่ได้มองเราว่าเป็นฝูงงู จิ้งจก แมว และสุนัข แต่พระองค์ทรงมองว่าเราเป็นฝูงแกะที่ต้องการความรัก การเอาใจใส่ และการนำทาง

    มา​เถิด ให้​เรา​นมัส​การ​และ​กราบ​ลง ให้​เรา​คุก​เข่า​ลง​เฉพาะ​พระ​พักตร์​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ผู้​ทรง​สร้าง​เราเพราะ​พระ​องค์​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​เรา และ​เรา​เป็น​ประ​ชา​กร​แห่ง​ทุ่ง​หญ้า​ของ​พระ​องค์ และ​เป็น​แกะ​แห่ง​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์

    สดุดี 95:6-7

    ผมกำลังเขียนหนังสือนี้เพราะผมมีความเชื่ออย่างมากว่าคนจำนวนมากสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลฝูงแกะของพระเจ้าได้ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะลุกขึ้นและมีส่วนร่วมในงานอันยิ่งใหญ่ในการดูแลประชากรของพระเจ้า การเป็นผู้เลี้ยงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอเพราะพระเจ้าของเราทรงรักผู้คนและมองดูพวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะที่ต้องการความเอาใจใส่และการนำทาง การเป็นผู้เลี้ยงเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่มาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่งานนี้ถูกมอบหมายให้กับอัครทูตเปโตร ผู้เป็นผู้นำของคริสตจักร จำไว้เสมอว่า พระเยซูได้บอกเปโตรให้พิสูจน์ความรักของเขาด้วยการเลี้ยงดูและเอาใจใส่ฝูงแกะ เปโตร เจ้ารักเราหรือ? ถ้าเจ้ารักเรา จงเลี้ยงดูฝูงแกะของเราเถิด!

    เมื่อ​รับ​ประ​ทาน​อาหาร​เสร็จ​แล้ว พระ​เยซู​ตรัส​กับ​ซีโมน​เป​โตร​ว่า ซีโมน​บุตร​ยอห์น​เอ๋ย ท่าน​รัก​เรา​มาก​กว่า​พวก​นี้​หรือ? เขา​ทูล​พระ​องค์​ว่า ใช่ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า พระ​องค์​ทรง​ทราบ​ว่า​ข้า​พระ​องค์​รัก​พระ​องค์ พระ​องค์​ตรัส​สั่ง​เขา​ว่า จง​เลี้ยง​ดู​ลูก​แกะ​ของ​เรา​เถิดพระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ครั้ง​ที่​สอง​ว่า ซีโมน​บุตร​ยอห์น​เอ๋ย ท่าน​รัก​เรา​หรือ? เขา​ทูล​ตอบ​พระ​องค์​ว่า ใช่ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า พระ​องค์​ทรง​ทราบ​ว่า​ข้า​พระ​องค์​รัก​พระ​องค์ พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า จง​ดู​แล​แกะ​ของ​เรา​เถิดพระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ครั้ง​ที่​สาม​ว่า ซีโมน​บุตร​ยอห์น​เอ๋ย ท่าน​รัก​เรา​หรือ? เป​โตร​เสีย​ใจ​มาก​ที่​พระ​องค์​ตรัส​ถาม​เขา​ครั้ง​ที่​สาม​ว่า ท่าน​รัก​เรา​หรือ? เขา​จึง​ทูล​พระ​องค์​ว่า องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า พระ​องค์​ทรง​ทราบ​ทุก​สิ่ง พระ​องค์​ทรง​รู้​ดี​ว่า​ข้า​พระ​องค์​รัก​พระ​องค์ พระ​เยซู​ตรัส​กับ​เขา​ว่า "จง​เลี้ยง​ดู​แกะ​ของ​เรา​เถิด

    ยอห์น21:15-17

    ในทุกคริสตจักรย่อมมีคนอยู่สองประเภทเสมอ คือ ผู้เลี้ยงกับฝูงแกะ คุณต้องเป็นผู้เลี้ยงหรือไม่ก็เป็นแกะ โดยปกติแล้ว ผู้เลี้ยงมักจะเป็นศิษยาภิบาล ในหลายภาษาไม่ได้มีความแตกต่างกันระหว่างคำว่า ผู้เลี้ยง กับ ศิษยาภิบาล คำเดียวกันที่ใช้กับผู้เลี้ยงก็ใช้กับศิษยาภิบาลด้วย ผมชอบใช้คำว่าผู้เลี้ยงเพราะมันช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงลักษณะงานที่เกี่ยวข้อง ผมชอบใช้คำว่า ผู้เลี้ยง เพราะมันบอกความหมายอย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วศิษยาภิบาลคือใคร การเป็นผู้เลี้ยงจึงหมายถึงการที่คุณต้องดูแลคนเหมือนกับดูแลแกะและมีความสัมพันธ์กับพวกเขา

    มีการให้ความหมายคำว่า ศิษยาภิบาล แปลกแตกต่างไปอย่างมากมาย และทุกคนต่างก็มีแนวคิดของตัวเองว่าศิษยาภิบาลควรเป็นสิ่งใดหรือควรทำสิ่งใด แต่เมื่อคุณพูดว่าคุณเป็นผู้เลี้ยง คุณก็รู้ได้อย่างทันทีว่างานของคุณคือการดูแลฝูงแกะ สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าหากคุณเป็นผู้เลี้ยง คุณย่อมไม่สามารถดูแลผู้คนที่ไม่ได้มีคุณลักษณะเหมือนแกะ คนที่ไม่ยอมรับการนำ การชี้แนะ การสอน หรือการเอาใจใส่ดูแลได้ ภาษาอังกฤษคำว่า ศิษยาภิบาล ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยมีความหมายว่าเป็น ผู้รับใช้ของพระเจ้า หรือ ผู้แทนของพระเจ้า เพราเหตุนี้เอง ผู้เผยพระวจนะ อัครทูต ผู้นำ และทุกตำแหน่งที่เป็นผู้แทนของพระเจ้าก็จะถูกเรียกว่าเป็น ศิษยาภิบาล ผู้เลี้ยงคือคนที่ทำงานเฉพาะเจาะจงที่จะต้องมีเวลาในการดูแล แสดงความรัก มีเวลาเลี้ยงดู และมีเวลารวบรวมฝูงแกะให้มาอยู่ด้วยกัน

    สังเกตจากข้อพระคัมภีร์ข้างต้นจะเห็นว่าฝูงแกะกระจัดกระจายเพราะไม่มีผู้เลี้ยง ฝูงแกะไม่ได้ถูกทำให้กระจัดกระจายไปเหตุเพราะไม่มีผู้เผยพระวจนะ ฝูงแกะไม่ได้ถูกทำให้กระจัดกระจายไปเหตุเพราะไม่มีผู้ประกาศหรือผู้นำ ฝูงแกะถูกทำให้กระจัดกระจายไปเพราะขาดผู้เลี้ยง ผมเชื่อมั่นอย่างมากว่าคนจำนวนมากถูกเรียกให้เป็นผู้เลี้ยง ผู้คนมากมายสามารถให้ความรัก เวลา พลังงานของพวกเขาเพื่อดูแลคนอื่นได้ ผมรู้สิ่งนี้ได้เพราะว่าคนส่วนใหญ่กลายเป็นแม่และพ่อคน ดังนั้นพวกเขามีความสามารถในทางฝ่ายธรรมชาติที่จะดูแลเอาใจใส่ลูกของพวกเขา การเป็นผู้เลี้ยงนั้นเกี่ยวข้องอย่างมากกับความรัก ความเอาใจใส่ และการนำทางซึ่งในที่สุดฝูงแกะก็จะเรียกผู้เลี้ยงของพวกเขาว่าพ่อ เมื่อมีคนลุกขึ้นด้วยการทรงเจิมแห่งการเป็นผู้เลี้ยง ผู้คนจะรวมตัวกันอยู่ล้อมรอบเขาเพราะทุกคนต้องการความรัก การดูแลเอาใจใส่ และการนำทาง

    เรียนรู้ที่จะใช้คำว่า ผู้เลี้ยง เมื่อต้องอธิบายถึงคนเหล่านั้นที่ดูแลประชากรของพระเจ้าและเลี้ยงดูพวกเขา เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเขาเป็น เมื่อคุณอธิบายถึงตัวเองในฐานะผู้เลี้ยงคนหนึ่ง มันช่วยให้คุณจดจ่อกับการทำงานของคุณในฐานะผู้เลี้ยงได้ ทุกวันนี้ มีคนจำนวนมากที่น่าจะเป็นคนที่ให้ความรักเอาใจใส่และนำทางฝูงแกะที่ได้กลายไปเป็นคนของทางโลกซึ่งมีความเหมาะสมกับมหาวิทยาลัยมากกว่ากับคริสตจักร

    ถ้าหากคุณได้เห็นผู้เลี้ยงคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขาในธนาคารแห่งหนึ่ง คุณควรถามเขาทันทีว่า คุณทิ้งฝูงแกะของคุณเอาไว้ที่ไหน? มีอะไรกำลังเกิดขึ้นกับพวกเขาไหม? ใครกำลังดูแลพวกเขาอยู่หรือ? ทุกวันนี้ มีผู้เลี้ยงจำนวนมากที่ได้ทิ้งฝูงแกะของพวกเขาและปรากฎตัวอยู่ในโลกธุรกิจโดยทำบางสิ่งที่แตกต่างไปจากการเป็นผู้เลี้ยงอย่างสิ้นเชิง พวกเขาดูหมิ่นเกียรติที่มอบให้แก่พวกเราเพื่อดูแลและเลี้ยงดูประชากรของพระเจ้า อย่าพึ่งเหวี่ยงหนังสือนี้ทิ้งนะครับ การเป็นผู้เลี้ยงเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างมาก มันคืองานของพระเจ้า จงเอาจริงเอาจังกับงานนี้ คุณสามารถเป็นผู้เลี้ยงและดูแลเอาใจใส่บรรดาลูกของพระเจ้าได้ คุณสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพระเจ้าได้ด้วยเช่นเดียวกัน!

    มีเวลาหนึ่งที่เราเป็นผู้รับแต่ก็มีอีกเวลาหนึ่งที่เราเป็นผู้ให้! มีเวลาหนึ่งที่เราได้รับคำสอนและมีอีกเวลาหนึ่งที่เราเป็นผู้สอน! มีเวลาหนึ่งที่ได้รับการนำทางโดยใครบางคนแต่ก็มีอีกเวลาหนึ่งเราต้องเป็นผู้นำคนอื่น! จงยอมเสียสละตัวคุณเองเพื่องานอันสูงส่งแห่งการเลี้ยงดูนี้ คือ การรัก เอาใจใส่ และสอนผู้คน มันคือเกียรติอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าคุณเป็นเพียงฆราวาสคนหนึ่ง คุณสามารถเป็นผู้เลี้ยงคนหนึ่งได้ มีฆราวาสมากมายที่อยู่ในงานรับใช้ คุณสามารถเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางฆราวาสที่ได้รับเกียรติเหล่านั้นที่รับใช้พระเจ้าในฐานะผู้เลี้ยง

    ถ้าคุณทำงานรับใช้แบบเต็มเวลา จงคิดถึงตัวเองในฐานะผู้เลี้ยงแทนที่จะคิดว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า การคิดแบบนี้จะช่วยทำให้คุณเข้าใจการทรงเรียกของคุณได้ดียิ่งขึ้น จงเคลื่อนในการใช้ของประทานของพระเจ้าเพื่อรัก เอาใจใส่ นำทาง และสอน และคุณจะเป็นผู้เลี้ยงดูประชากรของพระเจ้า จงจดจำว่าพระเยซูทรงรักฝูงแกะของพระองค์อย่างมาก พระองค์ทรงตายเพื่อเรา พระองค์ต้องห่วงใยพวกเราอย่างแน่นอน พี่น้องที่รัก! ใครก็ตามที่ดูแลฝูงแกะของพระเจ้าได้เคลื่อนตรงเข้าไปสู่ความรักของพระเจ้าเพราะพระเยซูทรงรักและตายเพื่อฝูงแกะเหล่านี้

    บทที่ 2

    เหตุผลที่ทำให้คุณเป็นผู้เลี้ยงได้

    ในบทนี้ ผมอยากแสดงให้คุณเห็นว่ามีเหตุผลตามหลักการพระคัมภีร์อยู่มากมายที่ทำให้ผมเชื่อว่าคุณสามารถเป็นผู้เลี้ยงคนหนึ่งได้ ผมเชื่อว่า ณ จุดหนึ่งในการพัฒนาชีวิตคริสเตียนของคุณ คุณสามารถเป็นผู้เลี้ยงคนหนึ่งได้ อย่างน้อยในระดับใดระดับหนึ่ง พระคัมภีร์สอนในหลากหลายแง่มุมเกี่ยวกับการที่คุณสามารถเกิดผลในงานรับใช้ได้ พระวจนะสอนเราด้วยว่ามีคน จำนวนมาก ไม่ใช่ ไม่กี่คน ที่ได้รับการทรงเรียกให้รับใช้

    พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้พยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล และอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้ดีรอบคอบ เพื่อช่วยในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น

    เอเฟซัส 4:11, 12

    การแปลความโดยทั่วไปของพระคัมภีร์ตอนนี้คือการที่พระเจ้าได้ประทานตำแหน่งพิเศษในการรับใช้เพื่อเหตุผลสำคัญสามประการ

    1. เตรียมวิสุทธิชนให้ดีรอบคอบ

    2. เพื่อช่วยในการรับใช้

    3. เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์

    นี่คือความจริง แต่เราต้องยอมรับว่าผู้แปลพระคัมภีร์ได้เพิ่มเครื่องหมายวรรคตอนเข้าไป ซึ่งบางครั้งทำให้การแปลข้อความไม่เที่ยงตรง เมื่อคุณเอาเครื่องหมายวรรคตอนออกไปจากพระธรรมเอเฟซัส 4:12 คุณก็จะได้รับความหมายที่แตกต่างออกไปจากเดิม ซึ่งผมเชื่อว่ามันเที่ยงตรงมากกว่า เอาเครื่องหมายวรรคตอนออกไปจากพระธรรมเอเฟซัส 4:12 และดูสิ่งที่พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังพูดกับเรา

    พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้พยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล (พอยเม็น) และอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้ดีรอบคอบเพื่อช่วยในการรับใช้และเพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น

    เอเฟซัส 4:11, 12

    ตอนนี้พระคัมภีร์กำลังบอกว่าพระเจ้าได้ให้อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประกาศ ศิษยาภิบาล และอาจารย์ เพื่อเตรียมวิสุทธิชนให้ดีรอบคอบเพื่อช่วยในการรับใช้

    พูดอีกอย่างคือ ตำแหน่งพิเศษในการรับใช้เหล่านี้ถูกประทานมาเพื่อการเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนดีพร้อมเพื่อพวกเขาจะมีความสามารถในการทำงานรับใช้ได้ สิ่งนี้มีความหมายว่าอย่างไร? หมายความว่าธรรมิกชนธรรมดาก็สามารถทำงานรับใช้ได้ และยังมีความหมายอีกด้วยว่า งานรับใช้ไม่ได้ถูกผูกขาดเอาไว้สำหรับอัครทูตและอาจารย์เท่านั้น

    ผู้เลี้ยงทั้งหลายสามารถทำให้งานรับใช้ที่เป็นส่วนที่กว้างใหญ่นั้นบรรลุผลสำเร็จได้อย่างน่าพอใจ

    เมื่อคุณแปลความพระธรรมเอเฟซัส 4:11-12 ในรูปแบบนี้ ก็จะทำให้ความรับผิดชอบของงานพันธกิจนั้นตกอยู่กับพวกเราทุกคนไม่ใช่แค่อยู่กับคนพิเศษเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เพราะพระคัมภีร์พูดว่ามีคนจำนวนมากได้รับการทรงเรียก!

    พระเจ้าไม่เคยเรียกคนเพียงไม่กี่คนให้ทำงานของพระองค์ พระเจ้าทรงเรียกคนจำนวนมากที่ได้ตอบสนอง

    ถ้าคุณเป็นพระเจ้าและคุณมีภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำให้สำเร็จ คือ ภารกิจแห่งการช่วยโลกทั้งโลกให้รอด คุณจะเรียกคนเพียงไม่กี่คนแล้วส่งพวกเขาออกไปทำงานนี้อย่างนั้นหรือ? แน่นอนเลยว่าคุณจะไม่ทำอย่างนั้น! คุณจะต้องเรียกคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้และส่งพวกเขาออกไปทำงานนี้ให้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มีเพียงคนไม่กี่คนที่ตอบสนองต่อการทรงเรียก ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนที่ถูกเลือกให้ทำงานรับใช้ในสวนองุ่น

    การทรงเรียกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากไหม?

    เราได้ทำให้การทรงเรียกของพระเจ้ากลายเป็นประสบการณ์อันลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินเสียง การมองเห็นนิมิต และการมีประสบการณ์ตื่นเต้นฝ่ายวิญญาณ นั่นคือการประยุกต์ใช้ที่ไม่ถูกต้องอย่างมาก มีคนจำนวนมากที่ ได้รับการทรงเรียก แต่คนจำนวนมากนั้นก็ไม่ได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับพระเยซู พระคัมภีร์สอนเราว่าเรา ได้รับการทรงเรียก ให้เป็นธรรมิกชน

    เรียน ทุก​ท่าน​ที่​อยู่​ใน​กรุง​โรม​ผู้​ซึ่ง​พระ​เจ้า​ทรง​รัก และ​ทรง​เรียก​ให้​เป็น​ธรร​มิก​ชน...

    โรม 1:7

    เรียน คริสต​จักร​ของ​พระ​เจ้า ที่​เมือง​โค​รินธ์ ผู้​ได้​รับ​การ​ทรง​ชำระ​ให้​บริ​สุทธิ์​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ และ​ได้​รับ​การ​ทรง​เรียก​ให้​เป็น​ธรร​มิก​ชน​...

    1 โครินธ์ 1:2

    คือธรรมิกชนที่ถูกคาดหวังให้ทำงานตามที่กล่าวไว้ในพระธรรมเอเฟซัส 4:12 เวลานี้ขอให้พวกเราซื่อสัตย์เถิด ในการทรงเรียกของเราเพื่อเป็นธรรมิกชน มีกี่คนในพวกเราที่ได้ยินเสียงอย่างเหนือธรรมชาติ? มีกี่คนในพวกเราที่ได้พบกับฟ้าแล่บฟ้าร้องเพื่อนำให้มาถึงความรอดบ้าง? มีพวกเรากี่คนที่ล้มลงบนถนนระหว่างทางไปเมืองดามัสกัส? มีเพียงคริสเตียนไม่กี่คนเท่านั้นที่มีประสบการณ์กับการทรงเรียกอันน่าตื่นเต้นจากพระเจ้า

    แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นคริสเตียน

    คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ทุกคนมีการทรงเรียกอันเหนือธรรมชาติเหนือชีวิตของพวกเขาเพื่อให้เป็นธรรมิกชน มันอาจไม่ใช่ความตื่นเต้นเร้าใจแต่มันเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ถ้าหากคุณเรียกตัวเองว่าคริสเตียน คุณก็ได้รับการทรงเรียกอย่างที่คุณได้ตอบสนองนั้นแล้ว ผมกำลังบอกคุณว่า แม้ว่าคุณไม่รู้ แต่คุณได้ยินการทรงเรียกและได้ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าแล้ว

    การทรงเรียกนั้นคืออะไร? การทรงเรียกคือการสำนึกที่มาเหนือคุณอย่างง่าย ๆ เกี่ยวกับความเป็นจริงของพระเยซูคริสต์ การสำนึกอย่างเดียวกันนี้ได้นำคุณให้มอบถวายชีวิตให้กับพระคริสต์

    Enjoying the preview?
    Page 1 of 1