Professional Documents
Culture Documents
การสงสัญญาณ (Signaling)
ในสวนนี้เราจะมาพิจารณาถึงวิธีการแกไขปญหาที่เกิดจาก Adverse selection ที่เรา
เรียกวาการสงสัญญาณ ตัวอยางเชน ในกรณีของตลาดรถยนตมือ 2 ผูขายรถคุณภาพสูงก็อาจที่
จะขายรถของตนเชนกัน ดังนั้น เขาจึงสามารถสงสัญญาณใหผูซื้อทราบวารถของตนนั้นเปนรถที่
มีคุณภาพดี โดยวิธีการทีท่ ําไดอยางเชน การรับประกัน (warranty) นั่นคือ มีการตกลงจะรับ
ซอมในกรณีที่รถเกิดมีปญหาขึ้นมา ซึ่งจะตองเปนการรับประกันในลักษณะที่มีเพียงผูขายรถ
คุณภาพสูงเทานั้นที่จะทําได สําหรับผูขายรถคุณภาพต่ําแลว ตนทุนในการรรับประกันสูงเกินไป
จึงทําใหการรับประกันสามารถสงสัญญาณใหกับผูซื้อเพื่อใหทราบถึงคุณภาพของรถได
ตัวอยางเชน การรับประกันในลักษณะของการคืนเงินใหกับผูซื้อกรณีที่รถนั้นมีคณ ุ ภาพต่ํา โดย
คืนเงินเปนจํานวน 1500 บาท เปนตน
ตัวอยางที่ 4:
สมมติวามีแรงงานอยู 2 ประเภท ไดแก แรงงานที่มีคุณภาพสูง (high productivity
type) และแรงงานที่มีคุณภาพต่ํา (low productivity type) โดยที่แรงงานคุณภาพสูงมี MPL
เทากับ a 2 และแรงงานคุณภาพต่ํามี MPL เทากับ a1 โดยที่ a 2 > a1 นอกจากนี้โอกาสที่
แรงงานจะเปนแรงงานคุณภาพสูงมีคาเทากับ b สมมติเพิ่มเติมใหฟงกชั่นการผลิตของบริษทั นี้
แทนดวย Yi = ai Li เมื่อ i คือประเภทของแรงงาน
แรงงานทุกคนมี reservation wage เทากับ 0 (กลาวอีกนัยหนึ่งคือ แรงงานจะตัดสินใจ
ทํางานหากไดรับคาจางมากกวา 0 บาท) กําหนดใหทั้งตลาดแรงงานและตลาดสินคาเปนตลาด
แขงขันสมบูรณ โดยราคาสินคาตอหนวยเทากับ $1
กรณีที่ 1: กรณีที่ขอมูลสมบูรณ
ในกรณีนี้ แรงงานจะไดรับคาจางเทากับ MPL x P = a1 ถาเปนแรงงานคุณภาพต่ําและ
a 2 ถาเปนแรงงานคุณภาพสูง
กรณีที่ 2: กรณีที่มีความไมสมมาตรของขอมูล และไมมีการสงสัญญาณ (no signaling)
ในกรณีนี้ บริษัทจะจายคาแรงใหกับทุก ๆ คนเทา ๆ กัน โดยเทากับ expected
productivity นั่นคือ w = (1 − b)a1 + ba 2
กรณีที่ 3: มีการสงสัญญาณ
สมมติใหแรงงานแตละคนสามารถเขารับการศึกษาได โดยระดับการศึกษาจะไมมีผลตอ
ประสิทธิภาพในการทํางาน สมมติใหตนทุนในการเขารับการศึกษาของแรงงานคุณภาพต่ํา
เทากับ c1 และของแรงงานคุณภาพสูงเทากับ c 2 ตอการศึกษา 1 ระดับ โดยที่ c1 > c 2
แรงงานระดับสูงจะมีแรงจูงใจที่จะทําการศึกษาในระดับที่ทําใหนายจางสามารถแยก
ตนเองออกจากแรงงานที่มีคุณภาพต่ําได เพื่อใหไดคาจางที่สูงขึ้น ซึ่งการจะเกิด separating
equilibrium แบบนี้ไดนั้น จะตองมีการศึกษาในระดับ e* ซึ่งมีลักษณะที่แรงงานระดับต่ําจะไม
ทําการศึกษาในระดับนี้ ในขณะแรงงานระดับสูง จะไดประโยชนในการศึกษาในระดับนี้ เพื่อให
ไดรับคาแรงทีส่ ูงขึ้น ซึ่งเงื่อนไขของการศึกษาในระดับ e* ไดแก
a 2 − a1 < c1e * (1)
แรงงานระดับต่ําจะไมสามารถรับการศึกษาระดับนี้ เพือ่ ปลอมตัวเปนแรงงานระดับสูงได
และ
a 2 − a1 > c 2 e * (2)
แรงงานระดับสูง จะไดรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับตนทุนทีเ่ ขาตองจาย
เพื่อใหไดรับการศึกษา
เมื่อรวมเงื่อนไขที่ (1) และ (2) เขาดวยกัน จะไดวา ระดับการศึกษาที่เหมาะสมเพื่อสง
สัญญาณใหทราบถึงการเปนแรงงานคุณภาพสูงจะมีเงื่อนไขดังนี้
a 2 − a1 a − a1
< e* < 2 (3)
c1 c2
และจะเกิด separating equilibrium ที่นายจางสามารถแยกแรงงานจากระดับการศึกษา
ได ก็ตอเมื่อ (3) เปนจริงเทานั้น
ตอมา พิจารณาถึงระดับการศึกษาทีแ่ รงงานแตละประเภทจะเลือกในดุลยภาพ ให
กลับมาพิจารณาวาระดับการศึกษานั้นไมไดมีผลกระทบตอ productivity ดังนั้นยอมไมมี
ผลกระทบตอคาจางที่จะไดรับเชนกัน จึงกลาวไดวา แรงงานทุกประเภทจะพยายามเลือกระดับ
การศึกษาทีต่ า่ํ ที่สุดเทาที่เปนไปได เนื่องจากการศึกษากอใหเกิดตนทุนเพียงอยางเดียว ในกรณี
ตัวอยางนี้ ในกรณีของแรงงานคุณภาพต่ําแลว เคาจะเลือกที่จะไมมีการศึกษา หรือ e=0 ในสวน
กรณีของแรงงานคุณภาพสูง เขาจะเลือกระดับการศึกษาที่ต่ําที่สุด เทาที่ทําใหนายจางแยกเขา
a 2 − a1 a − a1
ออกจากแรงงานคุณภาพต่ําได กลาวคือ eH = +ε ≈ 2
c1 c1
ดังนั้นดุลยภาพในที่นี้จะเปน separating equilibrium ในลักษณะที่แรงงานคุณภาพสูง
a 2 − a1 a − a1
จะเลือกการศึกษาที่ระดับ eH = +ε ≈ 2 และไดคาจางเทากับ wH = a 2 สวน
c1 c1
แรงงานคุณภาพต่ําจะเลือกการศึกษาที่ระดับ e L = 0 และไดรบั คาจางเทากับ wL = a1
แตหากเงื่อนไข (3) ไมเปนจริงแลว ดุลยภาพแบบเดียวที่เกิดขึ้นไดคือ pooling
equilibrium ที่ไดกลาวไปแลวในกรณีที่ 2
Moral Hazard
ที่ผานมา เราศึกษาถึงกรณีที่ฝายหนึ่งฝายใด มีขอ มูลที่อีกฝายไมรับรู แตบางกรณี
ปญหาอาจจะเกิดขึ้นทั้งที่ทั้ง 2 ฝายมีขอมูลครบถวน แตผลลัพธหรือผลตอบแทนขึ้นอยูกับการ
กระทําของคูสญ ั ญาฝายหนึง่ ที่อีกฝายไมสามารถตรวจสอบได บางครั้งเราจึงเรียกปญหา Moral
hazard วา “การมีการกระทําแอบแฝง (Hidden Action)”
ตัวอยางของปญหา moral hazard เชน กรณีของการประกันสุขภาพ กอนทําการ
ประกันสุขภาพ บริษัทประกันจะทําการตรวจสุขภาพของผูเอาประกัน ทําใหมีขอมูลสมบูรณ
เกี่ยวกับสุขภาพของบุคคลนั้น อยางไรก็ตาม บริษทั ประกันไมสามารถตรวจสอบขอมูลความ
ประพฤติของผูเอาประกันในชวงที่ถือประกันได เชน ผูเอาประกันอาจจะมีพฤติกรรมที่มีความ
เสียงสูง อยางการดื่มเหลาหนัก สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน เปนตน เปนผลทําใหบริษัทประกันตอง
จายคาชดใชมากกวาที่ควรจะเปนในขณะทําสัญญา เชนเดียวกับกรณีของการประกันรถยนต
เมื่อผูทําประกันไดประกันรถยนตเรียบรอย อาจทําใหความประมาทในการขับขี่เพิม่ ขึ้น
อีกตัวอยางหนึ่งของปญหา moral hazard คือการที่เจาของกิจการทําการจางผูจัดการ
มาบริหารบริษัทแทนตัวเอง เจาของกิจการจะไมสามารถทราบไดวา ผูจัดการไดใชความพยายาม
แคไหนในการทํางาน สิ่งที่เจาของกิจการสามารถตรวจสอบไดคือ พิจารณาวาผูจัดการ
ดําเนินงานแลวไดกําไรเทาไหร ซึ่งกําไรนั้นแมวา จะขึ้นอยูกับความพยายามของผูจัดการสวน
หนึ่ง แตก็ยังขึ้นอยูกับปจจัยอื่น ๆ ดวย เชน สภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น แตการจายคาตอบแทน
ใหกับผูจัดการ ไมสามารถจายใหตามความพยายามของผูจัดการ ซึ่งไมสามารถตรวจสอบได
ทางเจาของกิจการจึงตองจายคาตอบแทนตามกําไรแทน ซึ่งกอใหเกิดปญหา moral hazard
เชนเดียวกัน
โดยบางครั้งเราจะเรียกปญหา moral hazard วา “principal-agent problem” ซึ่งมาจาก
ตัวอยางนี้ กลาวคือ ความขัดแยงกันระหวางเปาหมายของ principal ที่ตองการผลตอบแทน
สูงสุดผานความพยายามของ agent ที่มากที่สุด และ agent ที่ตอ งการเงินเดือนสูงสุด โดยใช
ความพยายามนอยที่สุดเทาที่จะเปนไปได โดยเราสามารถเขียนปญหาของ principal-agent ได
ดังนี้
1. Principal ทําการออกแบบสัญญาถึงผลตอบแทนที่ agent จะไดรับในสถานการณ
(outcome) ที่ออกมาตาง ๆ
2. Agent ตัดสินใจวาจะตอบรับสัญญาดังกลาวหรือไม
3. Agent เลือกระดับความพยายามที่จะใสเขาไปในงาน
4. ธรรมชาติเลือก state ที่จะเกิดขึ้น (เชนเศรษฐกิจดี vs เศรษฐกิจไมดี)
5. ผลลัพธ (outcome) ออกมา และ Principal จายคาตอบแทนใหกับ agent
ซึ่งกรณีนี้ ผลลัพธที่จะออกมา เชนกําไร จะขึ้นอยูกับทั้ง state และความพยายามของ
agent แตเนื่องจากความพยายามของ agent เปนสิ่งที่ principal ไมสามารถตรวจสอบได ดังนั้น
principal จึงจายคาตอบแทน/คาจางใหกับ agent ตามผลลัพธทเี่ กิดขึ้น ซึ่งทําให agent มี
แรงจูงใจที่จะโกงโดยการอูงาน หากคิดวาโอกาสที่เศรษฐกิจจะดีนั้นสูง
ตัวอยางที่ 5: (แบบฝกหัดทําในชั้นเรียน)
Suppose that there are two types of firm: 1 (bad) or 2 (good). The firm can be either
good or bad with equal probability of 0.5. Each firm has 2 alternatives:
i) Continue the current production and get the profit of $500 if firm is good and
$150 if firm is bad.
ii) Invest in the new project with the cost of $1000. If the project succeeds, any
type of firm will get $2,000. Otherwise, it will get zero. If firm is of type 1, the
probability of success is 3/5. If firm is of type 2, the probability of success is
4/5.
Both types have a cashflow of $200. Therefore, if it decides to invest, it has to borrow
the rest of funding from the financial market. Suppose that the financial market is
perfectly competitive so that each lender seeks for zero profit.