Professional Documents
Culture Documents
(ส่วนที่ 1) ประกอบด้วย
ชือ
่ บทความ ใช้ภาษาทีเ่ ป็ นทางการ ชือ ่ เรือ
่ งชัดเจนตรงไปตรงมา
และครอบคลุมประเด็นของเรือ ่ ง
ชือ่ เจ้าของบทความ ต้องใช้ชือ
่ จริง ไม่ใช้นามแฝง และไม่ตอ ้ งใส่คานาหน้านาม
(ส่วนที่ 2) ประกอบด้วย
บ ท คั ด ย่ อ (Abstract) บ ท คั ด ย่ อ ใ น บ ท ค ว า ม วิ ช า ก า ร
เป็ น ก า ร ส รุ ป ป ร ะ เด็ น เนื้ อ ห า ที่ เป็ น แ ก่ น ส า คั ญ เน้ น ป ร ะ เด็ น ส า คั ญ ข อ ง ง า น
ที่ต้อ งการน าเสนอจริงๆ ควรเขี ย นให้สน ้ ั กระชับ มีค วามยาวไม่เกิน 10 ถึง 15 บรรทัด
โดยบทคัด ย่อ มัก จะประกอบด้ว ยเนื้ อ หาสามส่ว น คือ เกริ่น น า สิ่งที่ทา สรุ ปผลสาคัญ ที่ไ ด้
ซึง่ อ่านแล้วต้องเห็นภาพรวมทัง้ หมดของงาน
คาสาคัญ (Keyword) เป็ นศัพท์เฉพาะทางทีเ่ ห็นแล้วเข้าใจได้ทน ั ทีวา่ งานชิน
้ นี้ เกีย่ วกับอะไร
จานวนไม่เกิน 5 -8 คา
( ส่ ว น ที่ 3 ) บ ท น า ( Introduction)
ส่ ว น น าจ ะ เป็ น ส่ ว น ที่ ผู้ เขี ย น จู งใจ ให้ ผู้ อ่ า น เกิ ด ค ว าม ส น ใจ ใน เรื่ อ งนั้ น ๆ
ซึ่ ง ส า ม า ร ถ ใ ช้ วิ ธี ก า ร แ ล ะ เท ค นิ ค ต่ า ง ๆ ต า ม แ ต่ ผู้ เขี ย น จ ะ เห็ น ส ม ค ว ร เช่ น
อ า จ ใ ช้ ภ า ษ า ที่ ก ร ะ ตุ้ น จู ง ใ จ
ผู้ เ ขี ย น อ า จ ห รื อ ย ก ปั ญ ห า ที่ ก า ลั ง เ ป็ น ที่ ส น ใ จ ข ณ ะ นั้ น ขึ้ น ม า อ ภิ ป ร า ย
ห รื อ อ า จ จ ะ ก ล่ า ว ถึ ง ป ร ะ โ ย ช น์ ที่ ผู้ อ่ า น จ ะ ไ ด้ รั บ จ า ก ก า ร อ่ า น
น อ ก จ า ก จ ะ เ ป็ น ส่ ว น ที่ ใ ช้ จู ง ใ จ ผู้ อ่ า น แ ล้ ว
ส่ ว น น าเป็ นส่ ว น ที่ ผู้ เ ขี ย นสามารถกล่ า วถึ ง วัต ถุ ป ระสงค์ ของการเขี ย น บทความนั้ น
หรื อ ให้ ค าชี้ แ จงที่ ม าของการเขี ย นบทความนั้ น ๆ รวมทั้ง ขอบเขตของบทความนั้ น
เพือ ่ ช่วยให้ผูอ ้ า่ นไม่คาดหวังเกินขอบเขตทีก ่ าหนด ประกอบด้วย
( 1 ) ห ลั ก ก า ร แ ล ะ เห ตุ ผ ล ( rationale) ห รื อ ค ว า ม เป็ น ม า ห รื อ ภู มิ ห ลั ง
( Background) ห รื อ ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง เ รื่ อ ง ที่ เ ขี ย น ( justification)
หัวข้อนี้ จะทาให้ผูอ ้ า่ นได้ทราบเป็ นพื้นฐานไว้กอ ่ นว่าเรือ
่ งทีเ่ ลือกมาเขียนมีความสาคัญหรือ มี
ค ว าม เป็ น ม าอ ย่ า งไ ร เห ตุ ผ ล ใด ผู้ เขี ย น จึ ง เลื อ ก เรื่ อ งดั ง ก ล่ า ว ขึ้ น ม าเขี ย น
ในการเขี ย นบทน าในย่อ หน้ าแรกซึ่งถื อ ว่าเป็ นการเปิ ดตัว บทความทางวิช าการ
และเป็ นย่อหน้าทีด ่ งึ ดูดความสนใจของผูอ ้ า่ น
( 2 ) วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์
เป็ นการเขี ย นว่า ในการเขี ย นบทความในครั้ง นี้ ต้ อ งการให้ผู้ อ่า นได้ท ราบเรื่อ งอะไรบ้า ง
โดยจานวนวัตถุประสงค์แต่ละข้อไม่ควรมีมากเกินไปและวัตถุประสงค์แต่ละหัวข้อจะต้องสอ
ดคล้องกับเรือ ่ งหรือเนื้อหาของบทความ
(3) ขอบเขตของเรือ ่ ง ทีผ่ ูเ้ ขียนต้องการจะบอกกล่าวให้ผูอ ้ า่ นทราบและเข้าใจตรงกัน
เพือ ่ เป็ นกรอบในการอ่าน โดยการเขียนขอบเขตนั้น อาจขึน ้ อยูก ่ บ
ั ปัจจัยในการเขียน
ไ ด้ แ ก่ ค ว า ม ย า ว ข อ ง ง า น ที่ เขี ย น ห า ก มี ค ว า ม ย า ว ไ ม่ ม า ก ก็ ค ว ร ก า ห น ด
ขอบเขตการเขียนให้แคบลงไม่เช่นนัน ้ ผูเ้ ขียนจะไม่สามารถนาเสนอเรือ ่ งได้ครบถ้วนสมบูรณ์
และระยะเวลาที่ ต้ อ งรวบรวมข้ อ มู ล การก าหนดเรื่ อ งที่ จ ะเขี ย นที่ ลึ ก ซึ้ ง สลับ ซับ ซ้ อ น
ห รื อ เป็ น เรื่ อ งเชิ ง เทคนิ คอาจจะยากต่ อ การรวบรวมข้ อ มู ล และเรี ย บเรี ย งเนื้ อเรื่ อ ง
ดังนัน ้ หากมีเวลาน้อยก็ควรพิจารณาเขียนเรือ ่ งทีม่ ข
ี อบเขตไม่กว้างหรือสลับซับซ้อนมากนัก
1
( 4 ) ค า จ า กั ด ค ว า ม ห รื อ นิ ย า ม ต่ า ง ๆ
ที่ ผู้ เขี ย น เห็ น ว่ าค ว ร ร ะ บุ ไ ว้ เพื่ อ เป็ น ป ร ะ โย ช น์ ต่ อ ผู้ อ่ าน ใน ก ร ณี ที่ ค าเห ล่ านั้ น
ผูเ้ ขียนใช้ในความหมายทีแ ่ ตกต่างจากความหมายทั่วไปหรือเป็ นคาทีผ ่ ู้อา่ นอาจจะไม่เข้าใจ
ความหมายถือเป็ นการทาความเข้าใจและการสือ่ ความหมายให้ผูเ้ ขียนบทความและผูอ ้ า่ นบท
ความเข้าใจตรงกัน รวมทัง้ เป็ นการขยายความหมายให้สามารถตรวจสอบหรือสังเกตได้ดว้ ย
2
(5) วิ ธี ก า ร น า เ ส น อ
การน าเสนอเนื้ อ หาสาระให้ผู้ อ่านเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ วนั้น จาเป็ นต้อ งใช้เทคนิ ค ต่างๆ
ในการน าเสนอเข้ า ช่ ว ย เช่ น การใช้ สื่ อ ประเภทภาพ แผนภู มิ ตาราง กราฟ เป็ นต้ น
ผูเ้ ขียนควรมีการนาเสนอสือ่ ต่างๆ อย่างเหมาะสม และถูกต้องตามหลักวิชาการ
( ส่ ว น ที่ 5 ) ส่ ว น ส รุ ป (Conclusions)
บทความทางวิ ช าการที่ ดี ค วรมี ก ารสรุ ป ประเด็ น ส าคัญ ๆ ของบทความนั้น ๆ ซึ่ ง อาจท า
ใน ลัก ษ ณ ะ ที่ เป็ น ก าร ย่ อ คื อ ก าร เลื อ ก เก็ บ ป ร ะเด็ น ส าคั ญ ๆ ข อ ง บ ท ค ว าม นั้ น ๆ
ม า เ ขี ย น ร ว ม กั น ไ ว้ อ ย่ า ง สั้ น ๆ ท้ า ย บ ท ห รื อ
อาจใช้วธิ ีการบอกผลลัพธ์วา่ สิง่ ทีก ่ ล่าวมามีความสาคัญอย่างไร สามารถนาไปใช้อะไรได้บา้ ง
ห รื อ จ ะ ท า ใ ห้ เ กิ ด อ ะ ไ ร ต่ อ ไ ป ห รื อ อ า จ ใ ช้
วิ ธี ก ารตั้ง ค าถามหรื อ ให้ ป ระเด็ น ทิ้ ง ท้ า ยกระตุ้ น ให้ ผู้ อ่ า นไปสื บ เสาะแสวงหาความรู ้
ห รื อ คิ ด ค้ น พั ฒ น า เ รื่ อ ง นั้ น ต่ อ ไ ป ง า น เ ขี ย น
ทีด่ ีควรมีการสรุปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเสมอ
(ส่วนที่ 6) ประกอบด้วย
กิ ต ติ ก ร ร ม ป ร ะ ก า ศ (Acknowledgements)
หากต้องเขียนกิตติกรรมประกาศเพือ ่ ขอบคุณบุคคลหรือหน่ วยงานทีเ่ กีย่ วข้อง
สามารถเขียนได้ โดยให้อยูห ่ ลังเนื้อหาของบทความและก่อนเอกสารอ้างอิง
การพิมพ์เอกสารอ้างอิงท้ายบทความ (References)
1) เอกสารอ้างอิงทุกลาดับจะต้องมีการอ้างอิงหรือกล่าวถึงในบทความ
2 )
ต้องพิมพ์เรียงลาดับการอ้างอิงตามหมายเลขทีก ่ าหนดไว้ทีไ่ ด้อา้ งอิงถึงในบทความ
โดยไม่ตอ ้ งแยกภาษาและ
ประเภทของเอกสารอ้างอิง
3) ห ม า ย เล ข ล า ดั บ ก า ร อ้ า ง อิ ง ใ ห้ พิ ม พ์ ชิ ด ข อ บ ก ร ะ ด า ษ ด้ า น ซ้ า ย
ถ้ารายละเอียดของเอกสารอ้างอิงมีความยาว
มากกว่า หนึ่ ง บรรทัด ให้ พิ ม พ์ ต่ อ บรรทัด ถัด ไปโดยย่ อ หน้ า (โดยเว้ น ระยะ 7
ช่วงตัวอักษรหรือเริม ่ พิมพ์ชว่ ง
ตั ว อั ก ษ ร ที่ 8
การจัดพิมพ์เอกสารอ้างอิงท้ายบทความจะแตกต่างกันตามชนิดของเอกสารทีน ่ ามาอ้างอิง
ให้จดั พิมพ์ตามข้อแนะนาดังนี้
- ถ้ า เป็ นรู ป แบบการอ้ า งอิ ง ทางวิ ท ยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี ใ ห้ เป็ นระบบ
Vancouver
- ถ้ า เป็ น รู ป แบบการอ้ า งอิ ง ทางสัง คมศาสตร์ ใ ห้ เ ป็ น ระบบ American
Psychological Association