Professional Documents
Culture Documents
อ.เกษมสันต์ ร ุทธิ์อมร
วท.บ. (คณิตศาสตร์) ม.ธรรมศาสตร์,
วท.ม. (คณิตศาสตร์) ม.ธรรมศาสตร์.
2013
Relation & Function 1 Kasemsun Rutamorn
1.คู่อนั ดับ
ในวิ ช าคณิ ต ศาสตร์ การจับ คู่ ร ะหว่ า งสิ่ ง สองสิ่ ง ที่ มี ค วามสั ม พัน ธ์ ก ัน จะใช้ คู่ อั น ดั บ
เป็ นสัญลักษณ์แทนสิ่ งสองสิ่ งที่มีความสัมพันธ์กนั เช่น (2,4) หมายถึง 2 มีความสัมพันธ์กบั 4
ในกรณี ทวั่ ไป เราจะเขียนคู่อนั ดับในรู ป (a, b) เรี ยก a ว่าสมาชิกตัวแรกของคู่อนั ดับ หรื อ
สมาชิกตัวหน้า และเรี ยก b ว่าสมาชิกตัวที่สองของคู่อนั ดับ หรื อสมาชิกตัวหลัง
นอกจากนี้ยงั ได้วา่ (a, b) (c, d ) ก็ต่อเมื่อ a c และ b d
3.ความสั มพันธ์
ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า เราใช้คู่อนั ดับ (a, b) แทนความสัมพันธ์ระหว่าง a และ b จึงกล่าวว่า
ความสัมพันธ์ คือ เซตของคู่อนั ดับที่เป็ นสับเซตของผลคูณคาร์ ทีเชียน
ตัวอย่าง 3.5
ความสัมพันธ์ r {( x, y) R R | y x 2 2 x} สามารถเขียนได้อีกรู ปแบบหนึ่งดังนี้
r {( x, y) | y x 2 2 x} หรื อเขียนในอีกรู ปแบบหนึ่งเฉพาะสมการที่บรรยายลักษณะ
ของความสัมพันธ์ คือ y x 2 2x
4.โดเมนและเรนจ์
เนื่ องจากความสัมพันธ์เป็ นเซตของคู่อนั ดับที่ประกอบด้วยสมาชิ กตัวหน้าและสมาชิ กตัว
หลัง เราจะเรี ยกเซตของสมาชิ กตัวหน้าของคู่อนั ดับในความสัมพันธ์ว่า โดเมนของความสั มพันธ์
และเรี ยกเซตของสมาชิ กตัวหลังของคู่อนั ดับในความสัมพันธ์ ว่า เรนจ์ ของความสั มพันธ์ ดังบท
นิยามต่อไปนี้
จากนิยามจะได้วา่ x Dr y B,( x, y) r
r Rr x A,( x, y) r
yx x 2 y
x( y 1) 2 y
2y
x
y 1
จะเห็ นว่า y ที่เป็ นจานวนจริ งใดๆ จะมี ค่า x เป็ นคาตอบเสมอ ยกเว้น y 1 ที่ ทาให้
2
y 1 0 จะได้ ซึ่ งไม่นิยาม ดังนั้น Rr R {1}
0
นอกจากนี้ เราสามารถพิจารณาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์จากกราฟที่กาหนดให้ดงั นี้
X X
วิธีทา 1) จากกราฟ พบว่า x ซึ่งเป็ นสมาชิกในโดเมนของ r1 เป็ นจานวนจริ ง และ y ซึ่งเป็ นสมาชิก
ในเรนจ์ของ r1 เป็ นจานวนจริ ง
ดังนั้น Dr R และ Rr R 1
5.ฟังก์ชัน
ในวิ ช าคณิ ต ศาสตร์ ฟั ง ก์ ชัน เป็ นความสั ม พัน ธ์ รู ป แบบหนึ่ งที่ เ ป็ นพื้ น ฐานส าคัญ ใน
การศึกษาเรื่ องอื่นๆ โดยมีบทนิยามดังนี้
บทนิ ยาม ฟั ง ก์ชัน คื อ ความสั ม พัน ธ์ ที่ ส มาชิ ก ในโดเมนแต่ ล ะตัว จับ คู่ ก ับ สมาชิ ก ในเรนจ์ข อง
ความสัมพันธ์เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ในกรณี ที่ไม่ได้กาหนดโดเมนของฟั งก์ชนั มาให้ จะถื อว่า โดเมนของฟั งก์ชนั เป็ นเซตของ
จานวนจริ ง หรื อสับเซตของจานวนจริ ง และถ้ากล่าวว่า f เป็ นฟั งก์ชนั หมายถึง ฟั งก์ชนั ที่มีโดเมน
และเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริ ง
6.ฟังก์ชันเชิงเส้ น
ฟังก์ชนั เชิงเส้น คือ ฟังก์ชนั ที่อยูใ่ นรู ป f ( x) ax b เมื่อ a, b R ตัวอย่างเช่น
f ( x) 3x 2 , f ( x) x 1 , f ( x) 5x
กราฟของฟังก์ชนั เชิงเส้นจะเป็ นเส้นตรงที่ไม่ขนานกับแกน Y
จาก f ( x) ax b ถ้า a 0 แล้ว จะได้ว่า f ( x) b เรี ยกว่า ฟั งก์ ชันคงตัว (constant
function) โดยกราฟของฟังก์ชนั คงตัวจะเป็ นเส้นตรงขนานกับแกน X
ตัวอย่ าง 6.2 บริ ษทั แห่ งหนึ่ งจ่ายเงิ นเดื อนพนักงานเดือนละ 10,000 บาท และให้ส่วนแบ่งจากการ
ขาย 10% ของยอดขายสิ นค้าที่พนักงานขายได้
1.จงเขียนฟังก์ชนั แสดงรายได้ในแต่ละเดือนของพนักงาน
2.ถ้าเดือนหนึ่งพนักงานขายสิ นค้าได้ 20,000 บาท เขาจะมีรายได้ท้ งั หมดกี่บาท
วิธีทา 1. ให้ x แทนยอดขายสิ นค้าที่พกั งานขายได้
f (x) แทนรายได้ของพนักงานที่ได้รับจากบริ ษท ั ทั้งหมด
10
ดังนั้น f ( x) 10,000 x
100
2. ถ้าพนักงานขายสิ นค้าได้ 20,000 บาท เขาจะมีรายได้ท้ งั หมด f (20,000) ดังนี้
10
f (20,000) 10,000 (20,000)
100
10,000 2,000
12,000
ดังนั้น พนักงานจะรายได้ 12,000 บาท
7.ฟังก์ชันกาลังสอง
ฟั ง ก์ ชัน ก าลัง สอง คื อ ฟั ง ก์ ชัน ที่ อ ยู่ใ นรู ป f ( x) ax 2 bx c เมื่ อ a, b, c R และ
a 0 กราฟของฟังก์ชน ั กาลังสองจะขึ้นอยูก่ บั ค่าของ a, b, c ตัวอย่างเช่น
f ( x) x 2 2 x 15 จะได้กราฟดังรู ป
Y
f ( x ) x 2 6x 9 จะได้กราฟดังรู ป
Y
ax x c
a 2a 2a
2 b b
2
b
2
a x x a c
a 2a 2a
2
b b2
a x c
2a 4a
และ k b 4ac
2
b
ให้ h
2a 4a
จะได้ ax bx c ax h k
2 2
จุดวกกลับของกราฟพาราโบลาคือ (h, k )
ถ้า a 0 แล้ว (h, k ) จะเป็ นจุดต่าสุ ดของพาราโบลา และมีค่าต่าสุ ดเท่ากับ f (h) k
ถ้า a 0 แล้ว (h, k ) จะเป็ นจุดสู งสุ ดของพาราโบลา และมีค่าสู งสุ ดเท่ากับ f (h) k
จาก f ( x) ax 2 bx c
จะได้ a 1 0 ดังนั้น กราฟเป็ นรู ปพาราโบลาหงาย และมีจุด (h, k ) จะเป็ นจุดต่าสุ ด
ดังนั้น จุดต่าสุ ดคือ (2,9)
8.ฟังก์ชันเอกซ์ โพเนนเชียล
ฟังก์ชนั เอ็กซ์โพเนนเชียล คือ ฟังก์ชนั ที่อยูใ่ นรู ป f ( x) a x เมื่อ a 0 และ a 1
กราฟของฟังก์ชนั เอ็กซ์โพเนนเชียล
กรณี ที่ 1 เมื่อ a 1
Y
(1,10)
(0,1)
X
(2, 0.01) (1, 0.1)
1 x
ตัวอย่าง 8.2 จงเขียนกราฟของ y( )
10
วิธีทา
x 2 1 0 1 2
y 100 10 1 0.1 0.01
Y
(2,100)
(1,10)
(0,1)
(1, 0.1) X
(2, 0.01)
2x 4
x2
ดังนั้น เซตคาตอบของสมการคือ {2}
1
ตัวอย่าง 8.4 จงหาเซตคาตอบของ 4x
8
1
วิธีทา จาก 4x
8
2 3 (2 2 ) x
2 3 2 2 x ถ้า a x ay แล้ว xy
3 2x
3
x
2
ดังนั้น เซตคาตอบของสมการคือ { 3}
2
Y
f ( x) x
f ( x) x 2
10.ฟังก์ชันขั้นบันได
ฟั งก์ชนั ขั้นบันได คือ ฟั งก์ชนั ที่มีโดเมนเป็ นสับเซตของจานวนจริ ง และมีค่าฟั งก์ชนั คงตัว
เป็ นช่วงๆ มากกว่า 2 ช่วง กราฟของฟังก์ชนั จะมีรูปคล้ายขั้นบันได ตัวอย่างเช่น
20 ; 0 x 5
f ( x) 40 ;5 x 20
75 ;20 x 35
ฟังก์ชนั ข้างต้นสามารถเขียนกราฟได้ดงั รู ป
Y
11. ฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปอีกเซตหนึ่ง
ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงฟั งก์ชนั ที่สาคัญซึ่ งประกอบด้วย ฟั งก์ชนั จากเซตหนึ่ งไปอีกเซตหนึ่ ง
ฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่ง ฟังก์ชนั ทัว่ ถึง ฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่งแบบทัว่ ถึง ฟังก์ชนั เพิ่ม และฟังก์ชนั ลด
( x1 x2 )( x1 x2 ) 3( x1 x2 ) 0
( x1 x2 )( x1 x2 3) 0
ดังนั้น x1 x2 0 หรื อ x1 x2 3 0
สาหรับ x1 x2 0 จะได้วา่ x1 x2
พิจารณา x1 x2 3 0 จะได้วา่ x1 x2 3
ดังนั้น x1 x2
นัน่ คือ f ( x) x 2 3x 2 ไม่เป็ นฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่ง
ข้ อสั งเกต จากตัวอย่าง 11.9 เราพบว่าฟั งก์ชนั ที่โจทย์กาหนดให้ไม่เป็ นฟั งก์ชนั หนึ่ งต่อหนึ่ ง แต่ถา้
กาหนดโดเมนของฟังก์ชนั ให้เหมาะสมแล้วจะเป็ นฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่งได้
นัน่ คือ f : A B เรี ยกว่า ฟั งก์ชนั หนึ่ งต่อหนึ่ งแบบทัว่ ถึ ง (bijective) ถ้า f เป็ นฟั งก์ชนั
หนึ่งต่อหนึ่ง (injective) และเป็ นฟังก์ชนั ทัว่ ถึง (surjective)
y 1
จะได้ x
2
นัน่ คือx A ,( x, y) f
ดังนั้น y R f
สาหรับ y ที่เป็ นสมาชิกใดๆ และ y B จะได้วา่ B R f
แต่ R f B
ดังนั้น R f B
นัน่ คือ f เป็ นฟังก์ชนั จาก R ไปทัว่ ถึง R
จาก 1 และ 2 จึงสรุ ปได้วา่ f เป็ นฟังก์ชนั หนึ่งต่อหนึ่งจาก R ไปทัว่ ถึง R
12 ฟังก์ชันเพิม่ และฟังก์ชันลด
ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงฟังก์ชนั ที่สาคัญคือ ฟังก์ชนั เพิ่มและฟังก์ชนั ลดซึ่ งมีนิยามดังนี้
กราฟของฟังก์ชนั เพิ่มและฟังก์ชนั ลด
ตัวอย่ าง 12.1 กาหนดให้ f ( x) 3x 2 จงพิจารณาว่าฟั งก์ชนั ที่กาหนดให้ เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มหรื อ
ฟังก์ชนั ลดในเซตของจานวนจริ ง
วิธีทา ให้ x1 , x2 R ถ้า x1 x2 จะได้ 3x1 3x2
และ 3x1 2 3x2 2
ดังนั้น f ( x1 ) f ( x2 )
นัน่ คือ f เป็ นฟังก์ชนั ลดในเซตของจานวนจริ ง
ตัวอย่ าง 12.2 กาหนดให้ f ( x) 4 x 2 จงพิจารณาว่าฟั งก์ชนั ที่กาหนดให้ เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่มหรื อ
ฟังก์ชนั ลดในเซตของจานวนจริ ง
วิธีทา จาก f ( x) 1 x 2
พิจารณา f (1) 4 (1) 2 3
f (0) 4 (0) 2 4
f (3) 4 (3) 2 5
จะเห็นว่า 1 0 และ f (1) f (0)
ดังนั้น f ไม่ใช่ฟังก์ชนั ลดในเซตของจานวนจริ ง
และ 0 3 แต่ f (0) f (3)
ดังนั้น f ไม่ใช่ฟังก์ชนั เพิ่มในเซตของจานวนจริ ง
นัน่ คือ f ไม่ใช่ฟังก์ชนั ลดในเซตของจานวนจริ ง และไม่ใช่ฟังก์ชนั เพิม่ ในเซตของจานวนจริ ง
ข้ อควรระวัง 1.ถ้า f ไม่เป็ นฟังก์ชนั เพิ่มในเซต A แล้ว จะสรุ ปว่า f เป็ นฟังก์ชนั ลดในเซต A ไม่ได้
2. ถ้า f ไม่เป็ นฟังก์ชนั ลดในเซต A แล้ว จะสรุ ปว่า f เป็ นฟังก์ชนั เพิ่มในเซต A ไม่ได้
ตัวอย่าง 12.3 จงพิจารณารู ปของฟังก์ชนั f ต่อไปนี้ วา่ f เป็ นฟั งก์ชนั เพิ่ม หรื อเป็ นฟั งก์ชนั ลดบน
ช่วงใด Y
(4,8)
(5,3)
( 2,6)
13 พีชคณิตของฟังก์ชัน
ในบางครั้ งเราอาจสร้ างฟั ง ก์ชันขึ้ นใหม่โดยใช้ฟั งก์ชันเดิ มที่ มีอยู่ กล่ าวคื อ ถ้าฟั งก์ชันที่
กาหนดให้สองฟั งก์ชนั มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริ งแล้ว เราสามารถนาฟั งก์ชนั ทั้ง
สองมาบวก ลบ คูณ และหารกันได้โดยใช้นิยามต่อไปนี้
นิยาม 13.1 กาหนดให้ f และ g เป็ นฟังก์ชนั ในเซตของจานวนจริ ง
f g {( x, y) | y f ( x) g ( x) x D f Dg }
f g {( x, y) | y f ( x) g ( x) x D f Dg }
f g {( x, y) | y f ( x) g ( x) x D f Dg }
f f ( x)
{( x, y ) | y x D f Dg g ( x) 0}
g g ( x)
ตัวอย่าง 13.2 ให้ f {(1,3), (2,7), (3,9), (5,10)} และ g {(1,3), (2,5), (3,0), (4,2)}
f
จงหา f g , fg และ พร้อมทั้งหาโดเมนของแต่ละฟังก์ชนั
g
วิธีทา D f {1,2,3,5} และ f {1,2,3,4}
ดังนั้น D f g D f Dg {1,2,3} และ D fg D f Dg {1,2,3}
( f g )(1) f (1) g (1) 3 3 6
( f g )(2) f (2) g (2) 7 5 12
( f g )(3) f (3) g (3) 9 0 9
ดังนั้น f g {(1,6), (2,12), (3,9)}
D f x | x D f Dg g ( x) 0 {1,2}
g
f f (1) 6
(1) 1
g g (1) 6
f f (2) 16
(2)
g g (2) 11
f 16
ดังนั้น (1,1), 2,
g 11
13 ฟังก์ชันอินเวอร์ ส
จากการศึ ก ษาเรื่ อ งความสั ม พัน ธ์ เราทราบแล้ว ว่ า ความสั ม พัน ธ์ จ ะมี อิ น เวอร์ ส ของ
ความสัมพันธ์ และเนื่องจากฟังก์ชนั เป็ นความสัมพันธ์ ดังนั้น ฟังก์ชนั จึงมีอินเวอร์ สของฟังก์ชนั
กาหนดให้ f : A B แล้ว อินเวอร์ สของฟังก์ชนั คือ f 1: B A แทนด้วย f 1
f 1 จะไม่เป็ นฟังก์ชน
ั จาก B ไป A ถ้ามีลกั ษณะต่อไปนี้
1. D f B หรื อ R f B หรื อ f ไปไม่ทวั่ ถึง B
1
ตัวอย่าง 13.1 กาหนดให้ A {1,2,3,4} , B {a, b, c, d} และ f {(1, a),(2, b),(3, c),(4, d )}
จงหา f 1 และพิจารณาว่า f 1 เป็ นฟังก์ชนั หรื อไม่
วิธีทา จาก f {(1, a),(2, b),(3, c),(4, d )} จะได้ f 1 {(a,1),(b,2),(c,3),(d ,4)}
ดังนั้น f 1 เป็ นฟังก์ชนั อินเวอร์ ส
ตัวอย่าง 13.2 กาหนดให้ A {1,2,3,4} , B {a, b, c, d , e} และ f {(1, a),(2, c),(3, e),(4, a)}
จงหา f 1 และพิจารณาว่า f 1 เป็ นฟังก์ชนั หรื อไม่
วิธีทา จาก f {(1, a),(2, c),(3, e),(4, a)} จะได้ f 1 {(a,1),(c,2),(e,3),(a,4)}
เพราะว่า (a,1) f 1 และ (a,4) f 1 แต่ 1 4
ดังนั้น f 1 ไม่เป็ นฟังก์ชนั
x3 2
ตัวอย่าง 13.7 กาหนดให้ f ( x) จงหาฟังก์ชนั อินเวอร์ สของฟังก์ชนั f
3
x3 2
วิธีทา จาก y f ( x)
3
สลับตัวแปร โดยเปลี่ยน x เป็ น y และเปลี่ยน y เป็ น x
y3 2
จะได้ x
3
ดังนั้น y 3 3x 2
นัน่ คือ f 1 ( x) 3 3x 2
14 ฟังก์ชันประกอบ
กาหนดให้ f {(1,2), (2,3), (3,4)}และ g {(2,4), (3,9), (4,16)}
จะได้ D f {1,2,3} , R f {2,3,4}
และ Dg {2,3,4}, Rg {4,9,16}
จะเห็นว่า R f Dg
พิจารณาการจับคู่ของฟังก์ชนั f และ g จะพบว่า
4 g (2) g ( f (1)) เนื่องจาก f (1) 2
9 g (3) g ( f (2)) เนื่องจาก f (2) 3
4 g (4) g ( f (3)) เนื่องจาก f (3) 4
เขียนแผนภาพการจับคู่ได้ดงั รู ป
Df R f Dg Rg
1 2 4
2 3 9
3 4 16
จากตัว อย่ า งข้ า งต้ น จะเห็ น ว่ า ถ้ า f และ g เป็ นฟั ง ก์ ชั น โดยที่ R f Dg แล้ ว
เราสามารถสร้างฟังก์ชนั ใหม่ได้ ซึ่ งเรี ยกฟังก์ชนั ใหม่น้ ีวา่ ฟังก์ชนั ประกอบ ดังนิยามต่อไปนี้
จากนิยามข้างต้น จะได้วา่
gof {( x, z) | x A, z C y B, y f ( x) z g ( y) g ( f ( x))}
หรื อ ( x, z) gof y B, y f ( x) z g( y) g( f ( x))
ดังนั้น gof ( x) g( f ( x)) โดยที่ R f Dg
โดเมนของ gof คือ Dgof {x D f | f ( x) Dg }
ข้ อสั งเกต จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า R f Dg นัน่ คือ เราสามารถหา gof ได้ แต่ถา้
R f Dg จะไม่สามารถหา gof ได้
7x 5
นัน่ คือ gof ( x) 7 x 5
2.หา fog
จาก g( x) x 5 จะได้วา่ Rg R
และจาก f ( x) 7 x จะได้วา่ D f R
จะได้ Rg D f R จึงหา fog ได้
ดังนั้น fog( x) f ( g( x))
f ( x 5)
7( x 5)
7 x 35
นัน่ คือ fog( x) 7 x 35
1
นัน่ คือ gof ( x) และ Dgof R {1,1}
x 1
2
2.หา fog
1
จาก g ( x) จะได้วา่ Rg R {0}
x 1
และจาก f ( x) x 2 จะได้วา่ D f R
จะได้ Rg D f R {0} จึงหา fog ได้
2
1 1
ดังนั้น fog( x) f ( g( x)) f ( )
x 1 x 1
2
1
นัน่ คือ fog ( x) และ D fog R {1}
x 1
3x 2
นัน่ คือ และ Dgof R
gof ( x) 3x 2
จาก h( x) x 2 จะได้วา่ Rh R {0}
จะได้ Rgof Dh R {0} จึงหา ho( gof ) ได้
ดังนั้น ho( gof )( x) h( gof ( x))
(3x 2) 2
9 x 2 12 x 4
นัน่ คือ ho( gof )( x) 9 x 2 12 x 4
แบบฝึ กหัดทบทวน
2
1.ถ้า f ( x) 4 x และ g ( x) แล้ว ค่า x ที่ทาให้ ( fog )( x) gof ( x) เท่ากับเท่าไร (ENT’ต.ค.42)
x 1
x
2.กาหนดให้ f ( x) และ g ( x) x 2 1 ถ้า A Dgof และ B Dg แล้ว จงหา A B'
1 x
(ENT’ต.ค.42)
1) R {1,1} 2) (1, ) 3) 1 ,1 (1, ) 4) (1,1) (1, )
2
3.ให้ f ( x) ( x 1) 2 และ g ( x) x 1 จงหา D f g R' gof (ENT’ ต.ค.43)
1) [0,1) 2) [0,2] 3) [1, ) 4) [2, )
4.ถ้า ( fog )( x) 3x 14 และ f 1 x 2 x 2 แล้ว จงหา g 1 f ( x) (ENT’ ต.ค.43)
3
1) 3x 4 2) 3x 6 3) 3x 8 4) 3x 10
x x
5.กาหนดให้ f ( x) , x 1 และ g ( x) , x 1 ข้อใดต่อไปนี้ผด ิ (ENT’ มี.ค.44)
1 x 1 x
1) ( fog ) 1 ( x) x, x 4 2) ( f 1 g )( x) x , x 1
1 2x
3) ( f 1 g 1 )( x) x, x 1 4) ( g 1 f )( x) x , x 1
1 2x
2
6.กาหนดให้ r เป็ นความสัมพันธ์ในเซตของจานวนจริ ง โดยที่ r ( x, y) | y 1 x 2 ข้อใด
1 x
ต่อไปนี้ถูก (ENT’ มี.ค.42)
1) Dr [1,1], Dr 1 [1,1] 2) Dr [1,1], Dr 1 [0,1]
3) Dr [0,1], Dr 1 [1,1] 4) Dr [0,1], Dr 1 [0,1]
1
7.กาหนดให้ r {( x, y) | y 9 x 2 } และ s ( x, y ) | y ข้อใดต่อไปนี้ถูก
x2 9
ก. Dr Rs 1 ข. Rr Ds (0, ) 1
(ENT’ มี.ค.43)
1) ก ถูก และ ข ถูก 2) ก ถูก และ ข ผิด 3) ก ผิด และ ข ถูก 4) ก ผิด และ ข ผิด
8.กาหนดให้ f ( x 1) 3x 2 f ( x) และ g (3x 1) 2x 8 ถ้า f (0) 1 แล้ว
จงหา g 1 ( f (2)) (ENT’ ต.ค.44)
1) 1 2) 0 3) 1 4) 2
x 1
9.ให้ความสัมพันธ์ r {( x, y) R R | y } เมื่อ R เป็ นเซตของจานวนจริ ง เรนจ์ของ r คือ
x
ข้อใดต่อไปนี้ (ENT’ต.ค.42 ศิลป์ )
1) R {1} 2) R {1,1} 3) (,1] (1, ) 4) (,1] [0, )
บรรณานุกรม
กมล เอกไทยเจริ ญ. (2540). คณิตศาสตร์ ม.4 เล่ ม 1 ค 011. กรุ งเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
กมล เอกไทยเจริ ญ. (2540). คณิตศาสตร์ ม.4 เล่ ม 2 ค 012. กรุ งเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
สมัย เหล่าวานิชย์ และพัวพรรณ เหล่าวานิชย์. (2547). คณิตศาสตร์ พนื้ ฐานและเพิม่ เติม ช่ วงชั้นที่ 4 เล่ ม 2.
กรุ งเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลิชชิ่ง.
Barnett, Raymond A. and Other. (1999). College Algebra with Trigonometry. 6th edition.
Boston:McGraw-Hill.
Larson, Ron. (2011). Precalculus. 8th edition. Boston:Brooks/Cole.
Sullivan, Michael. (2005). Precalculus. 7thedition. New Jersey: Prentice Hall.