You are on page 1of 35

ตัวขยายสัญญาณ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ลิงก์ขา้ มภาษาในบทความนี มีไว้ให้ผอู ้ ่านและผูร้ ่ วมแก้ไขบทความศึกษาเพิมเติม
โดยสะดวก เนืองจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนัน ควรรี บสร้างเป็ น
บทความโดยเร็ วทีสุด

ตัวอย่างวงจรขยายกําลังสัญญาณ
ตัวขยายสัญญาณ หรื อ วงจรขยายสัญญาณ (อังกฤษ: Electronic Amplifier or Amplifier) หรื อเรี ยกสันๆว่า Amp เป็ น
อุปกรณ์หรื อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทีช่วยเพิมขนาดหรื อกําลังของสัญญาณ โดยการใช้พลังงานจากแหล่งจ่ายไฟและการควบคุม
สัญญาณเอาต์พทุ ให้มีรูปร่ างเหมือนสัญญาณอินพุท แต่มีขนาดใหญ่กว่า ในความหมายนี ตัวขยายสัญญาณทําการกลํา
สัญญาณ (อังกฤษ: modulate) เอาต์พทุ ของแหล่งจ่ายไฟ
ตัวขยายอิเล็กทรอนิกส์มี ประเภทพืนฐานได้แก่ ตัวขยายแรงดัน, ตัวขยายกระแส, ตัวขยาย transconductance และตัว
ขยาย transresistance ความแตกต่างอยูท่ ีสัญญาณเอาต์พตุ จะแทนความหมายของสัญญาณอินพุทแบบเชิงเส้นหรื อแบบเอ็กซ์
โปเนนเชียล ตัวขยายสัญญาณยังสามารถถูกแยกประเภทโดยการแทนทีทางกายภาพในขบวนของสัญญาณด้วย[ ]
ในบทความนี ตัวขยายสัญญาณหมายถึงอุปกรณ์เช่นทรานซิสเตอร์, หลอดสูญญากาศ ฯลฯ วงจรขยายสัญญาณหมายถึง
อุปกรณ์ขยายสัญญาณหรื อชินส่วนอิเล็กทรอนิกส์อืนๆทีขยายสัญญาณ

เนือหา
[ซ่อน]

 ตัวเลขสําคัญ
 ประเภทตัวขยาย
o . พาวเวอร์แอมป์
 . . พาวเวอร์แอมป์ โดยการประยุกต์ใช้
 . . วงจรพาวเวอร์แอมป์
o . แอมป์ หลอดสุญญากาศ (วาล์ว)
o . แอมป์ แบบแม่เหล็ก
o . แอมป์ ทรานซิสเตอร์
o 2.5Operational amplifiers (op-amps)
o . ตัวขยายสัญญาณเชิงแตกต่างแบบครบเครื อง
o . ตัวขยายสัญญาณวิดีโอ
o . ตัวขยายสัญญาณในแนวตังของ Oscilloscope
o . ตัวขยายสัญญาณแบบกระจาย
o . ตัวขยายสัญญาณแบบ Switched mode
o . อุปกรณ์ความต้านทานเชิงลบ
o . ตัวขยายไมโครเวฟ
 . . แอมป์ หลอดคลืนเดินทาง
 2.12.2Klystrons

o . วงจรขยายสัญญาณเสี ยงเครื องดนตรี


 การจําแนกประเภทของขันตอนวงจรขยายสัญญาณและระบบ
o . ตัวแปรของอินพุตและเอาต์พตุ
o . ขัวทีใช้ร่วมกัน
o . ทางเดียวหรื อสองทาง
 . . กลับหัวหรื อไม่กลับหัว
o . ฟังก์ชนั
o . วิธีการ coupling ระหว่างขันตอน
 ระดับชันของพาวเวอร์แอมป์
o . คลาสของมุมการนํากระแส
 . . คลาส A
 . . คลาส B
 . . คลาส AB
 . . คลาส C
 . . คลาสเพิมเติม
o 4.2Class A

 . . ข้อดีของแอมป์ คลาส A
 . . ข้อเสี ยของแอมป์ คลาส A
o . แอมป์ แบบ Single-ended และ triode คลาส A
o 4.4Class B

o . คลาส AB
o 4.6Class C
o 4.7Class D
o . คลาสเพิมเติม
 . . คลาส E
 . . คลาส F
 . . คลาส G และ H
 . . แอมป์ โดเฮอร์ตี
 การนําไปปฏิบตั ิ
o . วงจรแอมป์
o . หมายเหตุเกียวกับการนําไปใช้งาน
 ดูเพิม
 อ้างอิง

ตัวเลขสําคัญ[แก้]
บทความหลัก : Amplifier figures of merit
คุณภาพของตัวขยายขึนอยูก่ บั ลักษณะสมบัติดงั ต่อไปนี:

 Gain คืออัตราส่วนระหว่างขนาดของสัญญาณทีเอาต์พตุ กับสัญญาณทีอินพุท


 แบนด์ วดิ ธ์ คือความกว้างของช่วงความถีทีใช้งานได้
 ประสิทธิภาพ หมายถึงอัตราส่วนระหว่างกําลังของการส่งออกและการบริ โภคพลังงานทังหมด
 ความเป็ นเชิงเส้ น หมายถึงระดับของสัดส่วนระหว่าง input และ output ทีเพิมหรื อลดอย่างตรงไปตรงมา
 Noise หมายถึงการวัดการรบกวนทีไม่พึงประสงค์ทีผสมเข้าไปในเอาต์พตุ
 ช่ วงไดนามิกของเอาต์พตุ หมายถึงอัตราส่วนของสัญญาณเอาต์พตุ ทีใหญ่ทีสุดและทีเล็กทีสุด
 Slew rate หมายถึงอัตราสูงสุดของการเปลียนแปลงของเอาต์พตุ
 Rise time, settling time, ringing และ overshoot ทีบอกลักษณะการตอบสนองเป็ นขันตอน
 เสถียรภาพ หมายถึงความสามารถในการหลีกเลียงความผันผวนตนเอง

ประเภทตัวขยาย[แก้]
ตัวขยายมีความหมายตามคุณสมบัติของ input และ output[ ]. ซึงมีบางชนิดของเกนหรื อปัจจัยการคูณทีเชือมโยงขนาด
ของสัญญาณเอาต์พตุ กับสัญญาณอินพุท เกนอาจจะระบุเป็ นอัตราส่วนของแรงดันไฟฟ้าเอาต์พตุ กับอินพุท(เกนแรงดัน), กําลังที
ออกกับกําลังทีเข้า(เกนกําลัง) หรื อผสมกันของทังกระแส, แรงดันและกําลัง ในหลายกรณี ที input และ output มีหน่วยเดียวกัน
เกนจึงไม่มีหน่วย (มักแสดงในหน่วยเดซิเบล) แต่บางเกนก็มีหน่วย ตัวอย่างเช่น ตัวขยายแบบ transconductance เกนมีหน่วยเป็ น
conductance (กระแสเอาต์พตุ ต่อแรงดันอินพุท)
เครื องขยายเสี ยงมีสีประเภทพืนฐาน[ ] ดังนี :

1. แอมป์ แรงดันไฟฟ้า - นีเป็ นชนิดทีพบมากทีสุด แรงดันไฟฟ้าทีถูกป้ อนเข้าจะถูกขยายให้ได้แรงดันเอาต์พตุ ทีมีขนาด


ใหญ่ขนึ อินพุตอิมพีแดนซ์ของตัวขยายจะสูงและเอาต์พตุ อิมพีแดนซ์จะตํา
2. แอมป์ กระแส - แอมป์ ชนิดนีเปลียนกระแสอินพุทให้เป็ นกระแสเอาต์พตุ ทีมีขนาดใหญ่กว่า อินพุตอิมพีแดนซ์ของตัว
ขยายจะตําและเอาต์พตุ อิมพีแดนซ์จะสูง
3. แอมป์ transconductance - แอมป์ นีตอบสนองต่อแรงดันทีเปลียนแปลงโดยการส่งกระแสทีสัมพันธ์กบั การเปลียนแปลง
ออกไป
4. แอมป์ transresistance - แอมป์ นีตอบสนองต่อกระแสอินพุททีเปลียนแปลงโดยการส่งแรงดัน เอาต์พตุ ทีสัมพันะกับการ
เปลียนแปลงนันออกไป ชืออืนๆสําหรับอุปกรณ์ประเภทนีคือตัวขยาย transimpedance และตัวแปลงกระแสให้เป็ น
แรงดันไฟฟ้า(อังกฤษ: current-to-voltage converter)
ในทางปฏิบตั ิ เกนกําลังของตัวขยายจะขึนอยูก่ บั แหล่งจ่ายไฟและโหลด impedances ทีถูกใช้เช่นเดียวกับเกนแรงดัน/
กระแสโดยธรรมชาติ ในขณะที ตัวขยาย RF อาจมี impedances ทีถูกเลือกค่าทีดีทีสุดสําหรับการถ่ายโอนกําลัง ตัวขยายเสี ยงและ
เครื องดนตรี ทวไปจะถู
ั กออกแบบให้มีอินพุทและเอาต์พตุ impedances ทีดีทีสุดสําหรับช่วงทีมีโหลดน้อยและสัญญาณสูงสุด ตัว
ขยายทีบอกว่ามีเกน dB อาจจะมีเกนแรงดันสิ บเท่า และเกนกําลังทีจ่ายโหลดได้มีมากเกินกว่า dB (อัตราส่วนกําลังที )
แต่จะส่งมอบจริ งด้วยเกนกําลังทีตํากว่ามาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอินพุทเป็ นไมโครโฟน โอห์มและเอาต์พตุ เชือมต่อกับอินพุท
ซ็อกเก็ต kiloโอห์มของเพาเวอร์แอมป์
ในกรณี ส่วนใหญ่ ตัวขยายจะเป็ นเชิงเส้น นันคือ เกนจะคงทีทุกระดับสัญญาณปกติของอินพุทและเอาต์พตุ ถ้าเกนไม่
เป็ นเชิงเส้น เช่นถูกตัดหัวสัญญาณออก เอาต์พตุ ก็จะบิดเบียวไป อย่างไรก็ตาม มีบางกรณี ทีเกนทีเปลียนแปลงได้จะเป็ น
ประโยชน์
ตัวขยายสัญญาณมีหลายประเภท มีใช้กนั ทัวไปใน เครื องส่งสัญญาณวิทยุและ เครื องรับโทรทัศน์และ อุปกรณ์สเตอริ โอ
ไฮไฟ เครื องไมโครคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์ดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์อืนๆ และ เครื องขยายเสี ยง กีตาร์และเครื องดนตรี อืน ๆ
ส่วนประกอบทีสําคัญ ของตัวขยายสัญญาณจะเป็ นอุปกรณ์แอคทีฟเช่น หลอดสุญญากาศหรื อทรานซิสเตอร์ ต่อไปนี เป็ นการ
แนะนําสันๆของตัวขยายสัญญาณด้วยอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ดังนี
พาวเวอร์ แอมป์ [แก้]
พาวเวอร์แอมป์ โดยทัวไปจะเป็ นตัวขยายสัญญาณตัวสุดท้าย ในขบวนการส่งผ่าน(ส่วนเอาต์พตุ ) และเป็ นส่วนการขยาย
ทีมักจะต้องให้ความสนใจมากทีสุดในประสิทธิภาพการทํางาน การพิจารณาด้านประสิ ทธิภาพนําไปสู่ระดับชันต่างๆ ของพาว
เวอร์แอมป์ บนพืนฐานของการ bias ของทรานซิสเตอร์หรื อหลอดทีทําหน้าทีเป็ นตัวขยายเอาต์พตุ ตัวสุดท้าย : ดูระดับชันของ
พาวเวอร์แอมป์
พาวเวอร์ แอมป์ โดยการประยุกต์ ใช้ [แก้]

 พาวเวอร์แอมป์ ขยายเสี ยงออดิโอ


 พาวเวอร์แอมป์ RF เช่น ขันตอนสุดท้ายของการส่งสัญญาณ (ดูเพิมเติมที: แอมป์ เชิงเส้น)
 ตัวควบคุมเซอร์โวมอเตอร์ ทีการทํางานเชิงเส้นเป็ นสิ งไม่สาํ คัญ
 ออดิโอแอมป์ แบบ Piezoelectric รวมถึงตัวแปลง DC-to-DC เพือสร้างเอาต์พตุ แรงดันสูงเพือขับลําโพง piezoelectric[4]
วงจรพาวเวอร์ แอมป์ [แก้]
วงจรพาวเวอร์แอมป์ รวมถึงชนิด ต่อไปนี:

 หลอดสูญญากาศ/วาล์วไฮบริ ดหรื อทรานซิสเตอร์ขยายกําลัง


 ส่วนเอาต์พตุ สุดท้ายแบบ Push-Pull หรื อ single-ended
แอมป์ หลอดสุ ญญากาศ (วาล์ ว)[แก้]

หลอดเรื องแสง ECC ภายในปรี แอมป์


บทความหลัก: Valve amplifier
Symons กล่าวว่า ขณะทีแอมป์ ทีใช้สารกึงตัวนําได้เข้าแทนทีแอมป์ วาล์วแทบทังหมด สําหรับการใช้งานพลังงานตํา,
แอมป์ วาล์วจะใช้ในงานพลังงานสูงเพราะมีตน้ ทุนทีมีประสิ ทธิภาพมากกว่า เช่น "เรดาร์ อุปกรณ์ตอบโต้ หรื อ อุปกรณ์สือสาร"
ตัวขยายสัญญาณไมโครเวฟ จํานวนมากทีออกแบบใช้วาวล์เป็ นพิเศษ เช่น klystron, gyrotron หลอดคลืนเดินทาง และ ตัวขยาย
ข้ามเขต และวาล์วไมโครเวฟเหล่านีให้พลังงานเอาต์พตุ แบบอุปกรณ์เดียวทีความถีไมโครเวฟ ได้สูงมากกว่าอุปกรณ์ทีเป็ นโซ
ลิดสเตท[ ]
นอกจากนี แอมป์ วาล์ว/หลอด ยังมีการใช้งานเฉพาะในพืนทีอืนๆ เช่น

 เครื องขยายเสี ยงกีตาร์ไฟฟ้า


 ในเครื องบินทหารรัสเซีย สําหรับความอดทน EMP (Electromagnetic pulse, การกระจายอํานาจแม่เหล็กฉับพลัน)
 เสี ยงคุณภาพสูง (การบันทึกและอุปกรณ์เครื องเสี ยง)
แอมป์ แบบแม่ เหล็ก[แก้]
บทความหลัก: Magnetic Amplifier

รี แอคเตอร์ทีอิมตัวได้ เพือสาธิตหลักการของแม็กแอมป์
ตัวขยายสัญญาณแบบแม่เหล็ก (ทีรู ้จกั กันว่าเป็ น "แม็กแอมป์ ") เป็ นอุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้าเพือขยายสัญญาณไฟฟ้า ถูก
คิดค้นในช่วงต้นศตวรรษที และถูกนํามาใช้เป็ นทางเลือกแทนแอมป์ หลอดสูญญากาศเมือต้องการความทนทานและความจุ
กระแสสูง ประเทศเยอรมนีทาํ ให้ตวั ขยายสัญญาณนีสมบูรณ์ขึนในระหว่างสงครามโลกครังทีสองและมันก็ถูกนํามาใช้ในจรวด
V- ตัวขยายสัญญาณแม่เหล็กโดดเด่นทีสุดในการใช้งานการควบคุมพลังงานและงานความถีตําจาก ถึง จนกระทัง
เมือทรานซิสเตอร์เริ มเข้ามาแทนทีมัน. แม็กแอมป์ ตอนนีส่วนใหญ่ถูกแทนทีโดยตัวขยายสัญญาณทีใช้ทรานซิสเตอร์ ยกเว้นงาน
ทีต้องการความปลอดภัยทีสําคัญและความน่าเชือถือสูงหรื อการใช้งานทีเรี ยกร้องต้องการใช้อย่างมากไม่กีอย่าง เทคนิค
ทรานซิสเตอร์และ Mag-amp รวมกันยังคงถูกนําใช้ในปัจจุบนั
แอมป์ ทรานซิสเตอร์ [แก้]
ดูเพิมเติม: ทรานซิสเตอร์, Bipolar junction transistor, Field-effect transistor, JFET, and MOSFET
บทบาททีสําคัญขององค์ประกอบทีเป็ นแอคทีฟชนิดนี คือการขยายสัญญาณอินพุทเพือให้ได้ สัญญาณเอาต์พตุ ทีมีขนาด
ใหญ่กว่า ปริ มาณการขยาย(หรื อ forward gain)จะถูกกําหนดโดย การออกแบบวงจรภายนอก เช่นเดียวกับอุปกรณ์ทีแอคทีฟ
อุปกรณ์แอคทีฟทีใช้งานทัวไปในตัวขยายสัญญาณทรานซิสเตอร์ คือทรานซิสเตอร์แบบรอยต่อสองขัว
(อังกฤษ: Bipolar Junction Transistor) หรื อ BJT และ metal oxide semiconductor field-effect transistor(MOSFET)
การประยุกต์ใช้งานมีเป็ นจํานวนมาก ตัวอย่างทีเห็นทัวไปคือเครื องขยายเสี ยงสเตอริ โอในบ้านหรื อระบบ PA, การผลิต
RF พลังงานสูงสําหรับอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ทีใช้ในงาน RF และไมโครเวฟ เช่นเครื องส่งสัญญาณวิทยุ
ตัวขยายสัญญาณทีใช้ทรานซิสเตอร์ สามารถรับรู ้ได้โดยใช้คอนฟิ กกูเรชันต่างๆเช่น ถ้าเป็ น BJT จะใช้คอนฟิ กแบบ เบส
ร่ วมกัน คอลเล็กเตอร์ร่วมกันหรื ออีมิตเตอร์ร่วมกัน ถ้าใช้ MOSFET จะใช้คอนฟิ กแบบ เกทร่ วมกัน ซอสร่ วมกันหรื อเดรน
ร่ วมกัน แต่ละคอนฟิ กมีลกั ษณะสมบัติทีแตกต่างกัน เช่นเกน, อิมพีแดนซ์ ...
Operational amplifiers (op-amps)[แก้]

LM ออปแอมป์ วัตถุประสงค์ทวไป

บทความหลัก : Operational amplifier and Instrumentation amplifier
ออปแอมป์ เป็ นวงจรขยายทีมีเกนแบบวงเปิ ด(อังกฤษ: open loop gain)สูงมาก และเป็ นวงจรทีมีอินพุทสองชุดทีมีค่า
แตกต่างกันและถูกฟี ดแบคจากภายนอกเพือควบคุมฟังก์ชนั การถ่ายโอนหรื อเกน แม้วา่ วันนีคําว่าออปแอมป์ โดยทัวไปนําไปใช้
กับวงจรรวม การออกแบบออปแอมป์ แต่เดิมจะใช้วาวล์
ตัวขยายสัญญาณเชิงแตกต่ างแบบครบเครื อง[แก้]
บทความหลัก: Fully differential amplifier
ตัวขยายสัญญาณเชิงแตกต่างแบบครบเครื อง เป็ นวงจรรวมแบบโซลิตสเตททีใช้การฟี ดแบคจากภายนอก ในการควบคุม
ฟังก์ชนั การถ่ายโอนหรื อเกน มันคล้ายกับออปแอมป์ แต่ยงั มีขาเอาต์พตุ ความแตกต่างอยู่ ตัวขยายสัญญาณแบบนีมักจะสร้างโดย
ใช้ BJTs หรื อ FETs
ตัวขยายสัญญาณวิดโี อ[แก้]
ตัวขยายแบบนีทํางานกับสัญญาณวิดีโอ และมีแบนด์วดิ ท์ทีแปรเปลียนได้ ขึนอยูก่ บั ชนิดของสัญญาณวิดีโอว่าเป็ นระบบ
อะไร: SDTV, EDTV, HDTV 720p หรื อ i/p ฯลฯ คุณสมบัติของแบนด์วดิ ธ์เองขึนอยูก่ บั ชนิดของตัวกรองทีถูกนํามาใช้
และทีจุดไหน (- dB หรื อ - dB ตัวอย่าง) ทีแบนด์วดิ ธ์ถูกวัด ข้อกําหนดบางอย่างทีพอจะยอมรับได้เป็ นสิ งจําเป็ นสําหรับการ
ตอบสนองเป็ นช่วงๆหรื อทีเรี ยกว่าสเต็ปและภาพกระตุกหรื อโอเวอร์ชูต
ตัวขยายสัญญาณในแนวตังของ Oscilloscope[แก้]
ตัวขยายสัญญาณแบบนีจะทํางานกับสัญญาณวิดีโอ ทีไดรฟ์ หลอด Oscilloscope และ สามารถมีแบนด์วดิ ท์ได้ถึง
ประมาณ MHz ข้อกําหนดเกียวกับการตอบสนองเป็ นสเต็ป, rise time, overshoot และ ความผิดปกติของสี อาจทําให้การ
ออกแบบตัวขยายสัญญาณเหล่านียากยิงขึนไปอีก หนึงในผูบ้ ุกเบิกในตัวขยายแบนด์วธิ สูงแนวตังคือบริ ษทั Tektronix
ตัวขยายสัญญาณแบบกระจาย[แก้]
บทความหลัก: Distributed Amplifier
ตัวขยายสัญญาณแบบนีใช้สายส่งเพือแยกสัญญาณออกเป็ นส่วนๆชัวคราวและขยายแต่ละส่วน แยกต่างหาก เพือให้
บรรลุแบนด์วธิ สูงกว่าทีเป็ นไปได้จากตัวขยายเสี ยงเพียงตัวเดียว เอาต์พตุ ของแต่ละขันตอนจะถูกนํามารวมกันในเอาต์พตุ ของ
สายส่ง ประเภทของตัวขยายนีจะถูกใช้ทวไปในั Oscilloscope ในฐานะทีเป็ นตัวขยายแนวตังในขันตอนสุดท้าย สายส่งมักจะถูก
เก็บ อยูภ่ ายในจอแสดงผลหลอดแก้ว
ตัวขยายสัญญาณแบบ Switched mode[แก้]
แอมป์ ไม่เชิงเส้นแบบนีมีประสิทธิภาพสูงกว่าแอมป์ เชิงเส้นมาก และมีการใช้ในทีซึงการประหยัดพลังงานมีความคุม้ ค่า
กับความซับซ้อนทีมากเกิน
อุปกรณ์ ความต้ านทานเชิงลบ[แก้]
ความต้านทานเชิงลบ สามารถใช้เป็ นตัวขยาย เช่นแอมป์ ไดโอดอุโมงค์
ตัวขยายไมโครเวฟ[แก้]
แอมป์ หลอดคลืนเดินทาง[แก้]
บทความหลัก: Traveling wave tube
แอมป์ หลอดคลืนเดินทาง (อังกฤษ: Traveling Wave Tube Amplifier) หรื อ TWTA จะใช้สาํ หรับการขยายพลังงานสูงที
ความถีไมโครเวฟตํา มักจะสามารถขยายไปตามความกว้างของสเปกตรัมของความถี; แต่มกั จะไม่สามารถปรับได้เหมือน
klystrons
Klystrons[แก้]
บทความหลัก: Klystron
ไคลสตรอนกําลังสูงทีใช้สาํ หรับการสื อสารยานอวกาศทีแคนเบอรรา
en:Klystrons เป็ นอุปกรณ์สูญญากาศทีมีลาํ แสงเชิงเส้นเชียวชาญพิเศษ ทีออกแบบมาเพือให้พลังงานสูง การขยายของ
คลืนปรับได้อย่างกว้างขวางเป็ นมิลลิเมตรและส่วนย่อยของมิลลิเมตร Klystrons ได้รับการออกแบบสําหรับการดําเนินงานขนาด
ใหญ่และแม้จะมีแบนด์วดิ ท์ทีแคบกว่า TWTAs แต่มนั ได้เปรี ยบในการขยายสัญญาณอ้างอิงอย่างสัมพันธ์กนั ทีทําให้เอาต์พตุ
สามารถควบคุมได้อย่างแม่นยําทังขนาด ความถี และเฟส
วงจรขยายสัญญาณเสียงเครื องดนตรี[แก้]
บทความหลัก: Instrument amplifier
วงจรขยายกําลังสัญญาณเสี ยงออดิโอ มักจะใช้เพือขยายสัญญาณเช่นเพลงหรื อเสี ยงพูด มีปัจจัยหลายประการทีมี
ความสําคัญในการเลือกวงจรขยายสัญญาณเสี ยงจากเครื องดนตรี (เช่นแอมป์ ของกีตา้ ร์) และแอมป์ เสี ยงออดิโออืนๆ(แม้วา่
ระบบเสี ยงทังหมด - ชินส่วนเช่น ไมโครโฟน ลําโพง - ก็มีผลกระทบต่อพารามิเตอร์เหล่านี) :

 การตอบสนองความถี - ไม่เพียงแต่ช่วงความถี แต่ความต้องการระดับสัญญาณทีแตกต่างกัน น้อยมากในช่วงความถี


เสี ยงทีหูมนุษย์ไม่สามารถสังเกตเห็นการเปลียนแปลงได้ ข้อกําหนด ทัวไปสําหรับวงจรขยายเสี ยงออดิโออยูร่ ะหว่าง
Hz ถึง kHz และ +/- . dB
 พาวเวอร์เอาต์พตุ - ระดับพาวเวอร์ทีได้รับมีความเพียนน้อย เพือให้ได้ระดับเสี ยงดังพอจากลําโพง
 การบิดเบือนตํา - แอมป์ และตัวทรานสดิวเซอร์ทุกตัวจะบิดเบือนสัญญาณไปบ้าง พวกนีไม่สามารถเป็ นเชิงเส้นที
สมบูรณ์ แต่ม่งุ มันทีจะผ่านสัญญาณโดยไม่มีผลต่อเนือหาทีเป็ นฮาโมนิกของเสี ยงมากกว่าหูมนุษย์จะสามารถทนได้.
ความอดทนต่อการบิดเบือนอันนัน และแน่นอนที ความเป็ นไปได้ ว่าความเพียนของฮาร์โมนิกทีสอง (เสี ยงจากหลอด)
จะปรับปรุ งให้มีความเป็ นเสี ยงดนตรี ของเสี ยงเป็ นเรื องทีจะต้องมีการอภิปรายอย่างมาก

การจําแนกประเภทของขันตอนวงจรขยายสัญญาณและระบบ[แก้]
การจําแนกประเภทหลายทางเลือกได้กล่าวถึงมุมมองทีแตกต่างกันของการออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิงทีเกียวข้อง
ระหว่างพารามิเตอร์การออกแบบกับวัตถุประสงค์ของวงจร การออกแบบวงจรขยายสัญญาณจะต้องประนีประนอมอยูเ่ สมอกับ
ปั จจัยหลายอย่าง เช่นค่าใช้จ่าย การใช้พลังงาน, ความไม่สมบูรณ์ของอุปกรณ์ในโลกแห่งความจริ ง และ ความหลากหลายของ
คุณสมบัติของความสามารถในการทํางาน ด้านล่างนีเป็ นวิธีการทีแตกต่างกันหลายประการในการจัดหมวดหมู่ คือ:
ตัวแปรของอินพุตและเอาต์พุต[แก้]

แหล่งจ่ายทีไม่อิสระมีตวั แปรอยูส่ ี ประเภท ตัวแปรการควบคุมอยูด่ า้ นซ้าย ตัวแปรเอาต์พตุ อยูด่ า้ นขวา


วงจรขยายสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ใช้ตวั แปรหนึงตัวทีแสดงเป็ นทังกระแสและแรงดัน ซึงอาจเป็ นได้ทงอิ
ั นพุทและ
เอาต์พตุ นําไปสู่สีประเภทของวงจรขยายสัญญาณ ในรู ปแบบอุดมคติประเภทเหล่านีจะเป็ นตัวแทนของแต่ละประเภทของสี
แหล่งจ่ายไม่อิสระทีใช้ในการวิเคราะห์เชิงเส้น ดังแสดงในรู ปกล่าวคือ:

Input Output Dependent source Amplifier type

I I Current controlled current source CCCS Current amplifier

I V Current controlled voltage source CCVS Transresistance amplifier

V I Voltage controlled current source VCCS Transconductance amplifier

V V Voltage controlled voltage source VCVS Voltage amplifier


แต่ละประเภทของวงจรขยายสัญญาณในรู ปแบบอุดมคติของมันจะมีความต้านทานอินพุทและความต้านทานเอาต์พตุ ใน
อุดมคติ ทีเป็ นเช่นเดียวกับของแหล่งจ่ายไม่อิสระทีสอดคล้องกัน[ ]:

Amplifier type Dependent source Input impedance Output impedance

Current CCCS 0 ∞

Transresistance CCVS 0 0

Transconductance VCCS ∞ ∞

Voltage VCVS ∞ 0

ในทางปฏิบตั ิ อิมพีแดนซ์ในอุดมคติจะมีค่าโดยประมาณเท่านัน สําหรับวงจรใด การวิเคราะห์ สัญญาณขนาดเล็ก มักจะ


ถูกใช้เพือหาค่าอิมพีแดนซ์ทีได้จริ ง กระแสสลับ Ix ขนาดเล็กเพือทดสอบจะถูกป้ อนเข้าทีอินพุทหรื อเอาต์พตุ , ทุกแหล่งจ่าย
ภายนอกจะถูกตังค่าไปที AC ศูนย์, และแรงดันไฟฟ้าสลับ Vx ทีตกคร่ อมแหล่งจ่ายกระแสทีถูกทดสอบจะเป็ นตัวกําหนดค่า
อิมพีแดนซ์ทีโหนดนัน ซึงจะมีค่า R = Vx / Ix .
วงจรขยายสัญญาณทีออกแบบมาเพือแนบไปกับสายส่งทีอินพุทและ/หรื อเอาต์พตุ , โดยเฉพาะอย่างยิง RF แอมป์ , ไม่อยู่
ในวิธีการจัดหมวดหมู่แบบนี แทนทีจะจัดการกับแรงดันหรื อกระแสไฟฟ้าเป็ นรายตัว แอมป์ แบบนีจะจับคูอ่ ินพุทและ/หรื อ
เอาต์พตุ อิมพีแดนซ์ให้เข้ากันได้ดีกบั อิมพีแดนซ์ของสายส่ง นันคือ แมทช์อตั ราส่วนของแรงดันไฟฟ้าเข้ากับกระแส หลาย RF
แอมป์ ตัวจริ งสามารถทําได้ใกล้เคียงกับอุดมคตินี ถึงแม้วา่ RF แอมป์ สามารถถูกจัดว่ามีคุณสมบัติทีขยายแรงดันหรื อกระแสได้
ถ้าให้แหล่งจ่ายและโหลดอิมพีแดนซ์ทีเหมาะสม, โดยพืนฐานแล้ว แอมป์ RF เป็ นพาวเวอร์แอมป์ [ ]
ขัวทีใช้ ร่วมกัน[แก้]
การจําแนกประเภทวงจรขยายสัญญาณแบบหนึงจะขึนอยูก่ บั อุปกรณ์วา่ ใช้ขวไหนร่ั วมกันทังอินพุทและเอาต์พตุ ในกรณี
ของ bipolar junction transistors จะมีสามประเภทคือ อีมิตเตอร์ร่วม, เบสร่ วม และ คอลเล็กเตอร์ร่วม สําหรับ field-effect
transistor, จะมีสามประเภทเช่นกันคือซอสร่ วม, เกทร่ วมและเดรนร่ วม สําหรับอุปกรณ์สุญญากาศ triode, แคโทดร่ วม, กริ ดร่ วม
และ เพรทร่ วม
ทางเดียวหรื อสองทาง[แก้]
เมือวงจรขยายสัญญาณมีเอาต์พตุ ทีไม่มีสญ
ั ญาณป้ อนกลับมาทีอินพุท เราเรี ยกว่าแบบ 'ทางเดียว' อินพุทอิมพีแดนซ์ของ
มันจะไม่ขึนกับโหลดและเอาต์พตุ อิมพีแดนซ์ก็ไม่ขึนกับอินพุท
ถ้ามีสญ
ั ญาณเอาต์พตุ บางส่วนป้ อนกลับมาทีอินพุท เราจะเรี ยกวงจรขยายสัญญาณนันว่าแบบ 'สองทาง' อินพุท
อิมพีแดนซ์ของมันจะขึนกับโหลดและเอาต์พตุ อิมพีแดนซ์ก็ขึนกับอินพุท
วงจรขยายสัญญาณทังหมดเป็ นแบบสองทางในระดับหนึง แต่มนั มักจะถูกจําลองเป็ นแบบทางเดียว ภายใต้สภาวะการใช้
งานทีการป้ อนกลับมีขนาดเล็กพอทีจะละเลยเพือวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ ก็คือเพือให้การวิเคราะห์ทีง่ายขึน (ดูบทความ เบสร่ วม
เป็ นตัวอย่าง)
การป้ อนกลับเชิงลบจะถูกนํามาใช้อย่างจงใจเพือปรับพฤฒิกรรมของวงจรขยายสัญญาณให้ได้ตามต้องการ การ
ป้ อนกลับบางครัง ซึงอาจจะเป็ นบวกหรื อลบ อาจหลีกเลียงไม่ได้และไม่พึงประสงค์ ตัวอย่างเช่นโดย องค์ประกอบทีแฝงอยูเ่ ช่น
ค่าคาปาซิแตนซ์โดยธรรมชาติระหว่างอินพุทและเอาต์พตุ ของอุปกรณ์ เช่นทรานซิสเตอร์และการมีการเชือมต่อถึงกันแบบ
capacitative coupling อันเนืองมาจากการเดินสายภายนอก การป้ อนกลับเชิงบวกทีขึนอยูก่ บั ความถีทีมีมากเกินไป อาจก่อให้เกิด
สิ งทีตังใจ/คาดว่าจะให้เป็ นวงจรขยายสัญญาณ กลับกลายเป็ นวงจร oscillator
วงจรขยายสัญญาณแบบทางเดียว และแบบสองทางเชิงเส้นสามารถแสดงเป็ นเครื อข่ายสองพอร์ต

ตัวอย่างเครื อข่ายสองพอร์ต พอร์ตอินพุทและพอร์ตเอาต์พตุ แต่ละพอร์ตมีสองขา ขาเข้าและขาออก ในสภาวะทีเหมาะสม


กระแสทีไหลเข้าขาหนึงของพอร์ตจะเท่ากับกระแสทีออกจากอีกขาหนึงของพอร์ตเดียวกัน
กลับหัวหรื อไม่ กลับหัว[แก้]
การจําแนกประเภทของแอมป์ อีกวิธีหนึงก็คือ การจําแนกตามความสัมพันธ์ของเฟสของสัญญาณเข้ากับสัญญาณออก
ของวงจรขยายสัญญาณ วงจรทีผลิตสัญญาณเอาต์พตุ ทีแตกต่างจากอินพุท องศา (out of phase) เราเรี ยกว่าวงจรขยาย'กลับ
หัว' (นันคือการกลับขัวหรื อภาพสะท้อนในกระจกของอินพุท เท่าทีเห็นบนสโคป) วงจรขยายสัญญาณ'ไม่กลับหัว'จะรักษา
รู ปคลืนของสัญญาณเอาต์พตุ ให้ 'in phase' รู ปคลืนอินพุท วงจรอีมิตเตอร์ร่วมเป็ นประเภทของวงจรขยายทีไม่กลับหัว
ฟังก์ ชัน[แก้]
แอมป์ อืนๆอาจถูกจําแนกตามฟังก์ชนั หรื อลักษณะของเอาต์พตุ รายละเอียดของฟังก์ชนั เหล่านีมักจะนําไปใช้กบั ระบบ
การขยายสัญญาณทีสมบูรณ์แบบ หรื อระบบย่อย และไม่ค่อยใช้กบั ขันตอนการขยายเฉพาะส่วน

 วงจรขยายสัญญาณเซอร์โวจะมีวงรอบของการป้ อนกลับทีผนวกเข้ามาด้วย เพือควบคุมเอาต์พตุ อย่างแข็งขันให้มีระดับที


ต้องการบางระดับ เซอร์โว DC ชีให้เห็นการใช้งานทีความถีตําลงไปในระดับของ DC ทีทีความผันผวนอย่างรวดเร็ วของ
สัญญาณเสี ยงหรื อ RF จะไม่เกิดขึน ฟังก์ชนั แบบนีมักจะใช้ในต้วกลไก actuator หรื ออุปกรณ์เช่นมอเตอร์กระแสตรง ที
ต้องรักษาความเร็ วหรื อแรงบิดให้คงที แอมป์ AC เซอร์โวสามารถทําเช่นนีสําหรับบางมอเตอร์ AC
 แอมป์ เชิงเส้นตอบสนองต่อองค์ประกอบความถีทีแตกต่างกันได้อย่างเป็ นอิสระ และไม่ได้สร้าง ความเพียนฮาโมนิคหรื
อการบิดเบือนแบบ Intermodulation ไม่มีแอมป์ ทีสามารถทํางานเชิงเส้นได้สมบูรณ์แบบ (แม้แต่แอมป์ เชิงเส้นส่วนใหญ่
มีความไม่เชิงเส้นบางอย่าง เนืองจากอุปกรณ์ทีใช้ขยาย-ทรานซิสเตอร์หรื อหลอดสูญญากาศ-ทํางานตามกฎทีไม่เป็ นเชิง
เส้น เช่น square-laws และพึงพาเทคนิควงจรเพือลดผลกระทบเหล่านัน)
 แอมป์ ไม่เชิงเส้นสร้างการบิดเบือนอย่างมีนยั สําคัญ และเปลียนแปลงเนือหาของฮาโมนิค; มี หลายสถานการณ์ทีสิ งนี
เป็ นประโยชน์ วงจรขยายทีให้ฟังก์ชนั การถ่ายโอนทีไม่เชิงเส้นอย่างจงใจ รวมถึง:
 อุปกรณ์เช่น Silicon Controlled Rectifier หรื อ ทรานซิ สเตอร์ ทีใช้เป็ นสวิทช์ อาจต้องนํามาใช้ทีจะปิ ดหรื อเปิ ด
โหลดเช่นหลอดไฟอย่างเต็มที บนพืนฐานของเกณฑ์ในอินพุททีแปรอย่างต่อเนือง
 แอมป์ ทีไม่เชิงเส้นในแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ หรื อคอนเวอร์ เตอร์ RMS ทีแท้จริ งเป็ นตัวอย่าง ทีสามารถให้
ฟังก์ชนั การถ่ายโอนพิเศษเช่นลอการิ ทึม หรื อ Square-law
 แอมป์ RF Class C อาจจะถูกเลือกเพราะมันมีประสิ ทธิ ภาพมาก แต่จะไม่ใช่เชิงเส้น; ตามหลังวงจรเหล่านี เป็ น
วงจรขยายทีมีวงจรปรับแต่งทีสามารถลดฮาโมนิคทีไม่พึงประสงค์ (การบิดเบือน) พอทีจะเป็ นประโยชน์ในการ
ส่งสัญญาณ หรื อบางฮาโมนิคทีต้องการอาจจะถูกเลือก โดยการตังค่าความถีรี โซแนนซ์ของวงจรปรับความถีไป
ทีความถีสูง แทนทีจะเป็ นความถีพืนฐาน ในวงจรทวีคูณความถี
 วงจรควบคุมอัตราการขยายอัตโนมัติ (อังกฤษ: Automatic Gain Control) หรื อ AGC ต้องการเกนทีสามารถ
ควบคุมได้ โดยขนาดของสัญญาณเฉลียตามเวลา เพือให้ขนาดของสัญญาณทีเอาต์พตุ จะแตกต่างกันเล็กน้อยแม้
เมือรับสัญญาณจากสถานีทีมีสญ ั ญาณอ่อน ความไม่เชิงเส้นสันนิษฐานว่าจะถูกจัดเตรี ยมเพือทีว่าคลืนสัญญาณที
มีขนาดค่อนข้างเล็กจะไม่ตอ้ งทนทุกข์ทรมานจากการบิดเบือนมากนัก (การรบกวนข้ามสถานีส่ง หรื อ
intermodulation ) แต่ก็ยงั ถูกมอดูเลตโดยวงจรขยายทีมีเกนค่อนข้างใหญ่ทีควบคุมได้
 วงจรตรวจจับ AM ทีใช้การขยายสัญญาณ เช่นเครื องตรวจจับ Anode โค้ง, วงจรเรี ยงกระแส แม่นยํา และตัว
ตรวจจับอิมพีแดนซ์อนันต์ (ไม่รวมเครื องตรวจจับทีไม่ขยายเช่นเครื องตรวจจับหนวดแมว) เช่นเดียวกับวงจร
ตรวจจับค่าพีค เหล่านีจะพึงพาการเปลียนแปลงในการขยายทีขึนอยูก่ บั ขนาดในทันทีทนั ใดของสัญญาณทีสื บ
ทอดกระแสตรงจากอินพุทกระแสสลับ
 ตัวเปรี ยบเทียบออพแอมป์ และวงจรตรวจจับ

 วงจรขยายสัญญาณ wideband มีปัจจัยการขยายทีแม่นยําตลอดช่วงความถีกว้างและ มักจะใช้ เพือเพิมสัญญาณสําหรับ


การถ่ายทอดในระบบการสื อสาร แอมป์ narrowband จะขยายสัญญาณในช่วงแคบๆทีเฉพาะเจาะจงของความถีจนถึงการ
ยกเว้นของความถีอืน ๆ
 แอมป์ RF จะขยายสัญญาณในช่วงคลืนความถีแม่เหล็กไฟฟ้าและมักจะใช้เพือเพิมความไวของเครื องรับหรื อพาวเวอร์
เอาต์พตุ ของเครื องส่งสัญญาณ.
 แอมป์ ขยายเสี ยงออดิโอ ขยายเสี ยงทีมนุษย์ได้ยนิ ซึงจะแบ่งย่อยออกเป็ นวงจรขยายสัญญาณขนาดเล็กและพาวเวอร์
แอมป์ ทีมีการปรับให้เหมาะสมกับลําโพง บางครังก็ประกอบด้วยแอมป์ หลายกลุ่มรวมกันเป็ นช่องทางทีแยกต่างหาก
หรื อเชือมเข้าหากันเพือรองรับความต้องการทีแตกต่างกันในการทําเสี ยงขึนมาใหม่ คําทีใช้บ่อยในแอมป์ ออดิโอ รวมถึง:
 preamp (พรี แอมป์ ) ซึงอาจรวมถึงพรี แอมป์ phono ทีมี RIAA equalization หรื อ preamps หัวเทปทีมีตวั กรอง
แบบ CCIR equalisation และอาจรวมถึงตัวกรองหรื อวงจรควบคุมโทนเสี ยง
 พาวเวอร์ แอมป์ (ปกติขบ ั ลําโพง), แอมป์ หูฟังและแอมป์ ประกาศสาธารณะในชุมชน
 เครื องขยายเสี ยงแบบสเตอริ โอบ่งบอกถึงเอาต์พต ุ สองช่องทาง(ซ้ายและขวา) แม้วา่ คํานีจะหมายถึงเสี ยงที"
แน่น" (หมายถึงสามมิติ) ดังนัน สเตอริ โอ quadraphonic จึงถูกนํามาใช้ สําหรับเครื องขยายเสี ยงทีมีสีช่อง ระบบ
. และ . หมายถึงระบบโฮมเธียเตอร์ทีมี หรื อ ช่องทีห่างกัน บวกซับวูฟเฟอร์อีกหนึงช่อง
 แอมป์ buffer เป็ นแอมป์ สํารองหรื อแอมป์ ตัวช่วย ซึงอาจรวมถึง อีมิตเตอร์ร่วม, จะให้อินพุททีมีอิมพีแดนซ์สูงสําหรับ
อุปกรณ์ (บางทีเป็ นแอมป์ ตัวอืนหรื อบางทีอาจเป็ นโหลดทีหิ วพลังงาน เช่นหลอดไฟ) ทีกลับกลายเป็ นว่าจะดึงกระแส
มากจนเกินไปจากแหล่งจ่ายไฟ ไลน์ไดรเวอร์เป็ นประเภทของ buffer ทีป้ อนสายเคเบิลทีเชือมต่อระหว่างกันยาวหรื อมี
การรบกวนได้ง่าย อาจเป็ นไปได้โดยใช้เอาต์พตุ ทีแตกต่างกัน(อังกฤษ: differential output)ผ่านสายคู่บิดเกลียว
(อังกฤษ: twisted-pair cable)
 แอมป์ ชนิดพิเศษ - แต่เดิมใช้ในแอนะล็อกคอมพิวเตอร์ - ปั จจุบนั ถูกนํามาใช้กนั อย่างแพร่ หลายในเครื องมือวัดสําหรับ
การประมวลผลสัญญาณ และการใช้งานอืนๆอีกมากมาย แอมป์ เหล่านีเรี ยกว่า แอมป์ ในการดําเนินงาน หรื อ ออปแอมป์
ชือ "การดําเนินงาน" เพราะแอมป์ ชนิดนี สามารถนํามาใช้ในวงจรทีทําหน้าทีทางคณิ ตศาสตร์ หรื อ "การดําเนินงาน" กับ
สัญญาณอินพุทเพือให้ได้สญ ั ญาณเอาต์พตุ ในประเภททีต้องการ ออปแอมป์ สมัยใหม่มกั จะอยูใ่ นวงจรรวมมากกว่าการ
สร้างขึนมาจากชินส่วนย่อย op-amp จะมีอินพุทแบบ differential (ขาหนึง "กลับหัว"อีกขาหนึง "ไม่กลับหัว") และมี
หนึงเอาต์พตุ op-amp ในอุดมคติมีลกั ษณะดังต่อไปนี:
 อินพุตอิมพีแดนซ์ไม่มีทีสิ นสุ ด (ดังนันจึงไม่ได้โหลดวงจรทีเป็ นอินพุตของมัน)

 เอาต์พต ุ อิมพีแดนซ์เป็ นศูนย์


 เกนไม่มีทีสิ นสุ ด

 ความล่าช้าในการกระจายเป็ นศูนย์

ประสิ ทธิภาพการทํางานของ op-amp ทีมีลกั ษณะเหล่านีจะถูกกําหนดโดยสิ นเชิงโดยส่วนประกอบ (ปกติเป็ นพาสซีฟ)


ทีฟอร์มตัวเป็ นการป้ อนกลับเชิงลบรอบๆตัวมัน ตัวออปแอมป์ เองไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อเอาต์พตุ ออปแอมป์ ในโลกแห่ง
ความจริ งทังหมดไม่ได้มีลกั ษณะตามอุดมคติขา้ งต้น แต่ก็มีส่วนประกอบทีทันสมัยบางส่วนทีมีประสิ ทธิภาพการทํางานทีโดด
เด่นและเข้าใกล้ในบางลักษณะดังกล่าว
วิธีการ coupling ระหว่ างขันตอน[แก้]
ดูเพิมเติม: multistage amplifiers
วงจรขยายสัญญาณบางครังถูกจําแนกโดยวิธีการเชือมโยงสัญญาณทีขันตอนอินพุท ขันตอนเอาต์พตุ หรื อระหว่าง
ขันตอนนัน มีหลายชนิดทีแตกต่างกัน รวมถึง :
Resistive-capacitive coupled amplifier โดยใช้ เครื อข่ ายของตัวต้ านทานและตัวเก็บประจุ
โดยการออกแบบ วงจรขยายสัญญาณเหล่านีไม่สามารถขยายสัญญาณ DC เพราะตัวเก็บประจุจะบล็อกองค์ประกอบ
DC ของสัญญาณอินพุท วงจรแบบนีถูกนํามาใช้ในวงจรหลอดสุญญากาศหรื อทรานซิสเตอร์เป็ นชินส่วนแยก ในสมัย
ของวงจรรวม ทรานซิสเตอร์ไม่กีตัวบนชิปจะถูกกว่าและมีขนาดเล็กกว่าตัวเก็บประจุเสี ยอีก
Inductive-capacitive (LC) coupled amplifier ใช้ เครื อข่ ายของตัวเหนียวนําและตัวเก็บประจุ
วงจรขยายสัญญาณชนิดนีจะถูกใช้บ่อยทีสุดในวงจรเลือกคลืนความถีวิทยุ
Transformer coupled amplifier ใช้ หม้ อแปลงไฟฟ้ าเพือแมทช์ impedances หรื อเพือแยกบางส่ วนของวงจร
ค่อนข้างบ่อย วงจรขยาย LC-coupled และ transformer-coupled ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ เพราะหม้อแปลง
ไฟฟ้าก็เป็ นตัวเหนียวนําชนิดหนึง
Direct coupled amplifier ไม่ ใช้ อมิ พีแดนซ์ และชินส่ วนที bias matching
วงจรขยายสัญญาณแบบนีเป็ นเรื องไม่ปกติในวันหลอดสุญญากาศ เมือแรงดันทีแอโหนด(output )สูงกว่าหลายร้อย
โวลต์และแรงดันทีกริ ด(อินพุท) เป็ นลบไม่กีโวลต์ ดังนันวงจรพวกนีจึงถูกนํามาใช้เฉพาะถ้าเกนถูกระบุลงไปที DC
(เช่นในสโคป) ในบริ บทของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทีทันสมัย มีการส่งเสริ มให้นกั พัฒนาใช้วงจรแบบนี เมือใดก็ตามที
เป็ นไปได้

ระดับชันของพาวเวอร์แอมป์ [แก้]
วงจรพาวเวอร์แอมป์ (ขันตอนเอาต์พตุ ) จะจัดระดับเป็ น A, B, AB และ C สําหรับการ
ออกแบบ แอนะล็อก และ คลาส D และ E สําหรับการออกแบบสวิตชิง ตามสัดส่วนของแต่ละ
วงรอบของอินพุท (มุมการนํากระแส) โดยอุปกรณ์ขยายจะผ่านกระแสในระหว่างมุมนัน. ภาพ
ของมุมการนํากระแสจะมาจากการขยายสัญญาณรู ปซายน์ หากอุปกรณ์ ON ตลอดเวลา มุมจะ
เท่ากับ ° แต่ถา้ มัน ON เพียงครึ งรอบมุมจะเท่ากับ ° มุมของการไหลของกระแสจะ
เกียวข้องอย่างใกล้ชิดกับประสิ ทธิภาพการใช้พลังงานของวงจรขยาย คลาสต่างๆได้ถูกนําเสนอ
ด้านล่าง ตามด้วยการอภิปรายรายละเอียดเพิมเติมภายใต้หวั ข้อของแต่ละคลาสทีตําลงไป
ในภาพประกอบด้านล่าง ทรานซิสเตอร์ BJT เป็ นอุปกรณ์ขยาย หรื ออาจเป็ น
MOSFETs หรื อ หลอดสูญญากาศทีมีคุณสมบัติเหมือนกัน
คลาสของมุมการนํากระแส[แก้]
คลาส A[แก้]
ใช้ % ของสัญญาณอินพุท (มุมการนํา Θ = 360°) อุปกรณ์ขยายทํางานตลอดเวลา[ ]
คลาส B[แก้]
ใช้ % ของสัญญาณอินพุท (Θ = 180°) อุปกรณ์ขยายทํางานครึ งเดียวในแต่ละรอบ
และไม่ทาํ งานในอีกครึ งรอบทีเหลือ
คลาส AB[แก้]
คลาส AB อยูร่ ะหว่างคลาส A และ คลาส B, อุปกรณ์ขยายทังสองทํางานมากกว่า
ครึ งหนึงของ เวลา
คลาส C[แก้]
ใช้นอ้ ยกว่า % ของสัญญาณอินพุท (มุมการนํา Θ < 180°)
แอมป์ "Class D" จะใช้บางรู ปแบบของ pulse-width modulation ในการควบคุม
อุปกรณ์เอาต์พตุ ; มุมการนําของอุปกรณ์แต่ละตัวจะไม่เกียวข้องโดยตรงกับสัญญาณอินพุทอีก
ต่อไป แต่จะ เปลียนตามความกว้างของพัลส์แทน งานนีบางครังเรี ยกว่าแอมป์ "ดิจิทลั "
เนืองจากอุปกรณ์ เอาต์พตุ จะเปลียน ON หรื อ OFF อย่างเต็มที และไม่ได้นาํ กระแสเป็ นสัดส่วน
กับขนาดของสัญญาณ
คลาสเพิมเติม[แก้]
แอมป์ ยังมีคลาสอืนๆอีกหลายคลาส แต่ส่วนใหญ่จะเป็ นรู ปแบบดัดแปลงของคลาสที
ผ่านมา ตัวอย่างเช่น แอมป์ คลาส G และ คลาส H เป็ นการเปลียนแปลงของรางจ่ายไฟที
ตามหลังสัญญาณอินพุท (แบบทีละขันและแบบต่อเนืองตามลําดับ) ความร้อนทีสูญเปล่าของ
อุปกรณ์เอาต์พตุ สามารถลดลงได้ถา้ แรงดันไฟฟ้าส่วนเกินจะถูกจัดการให้มีนอ้ ยทีสุด แอมปฺ์ ที
ถูกเลียงด้วยรางแบบนี จะเป็ นคลาสอะไรก็ได้ แอมป์ พวกนีมีความซับซ้อนมากกว่าและใช้เป็ น
หลักสําหรับการใช้งานเฉพาะ เช่นแอมป์ กําลังสูงมาก แอมป์ คลาส E และคลาส F ก็เช่นกัน
สําหรับการใช้งานคลืนความถีวิทยุในทีซึงประสิ ทธิภาพของคลาสแบบดังเดิมมีความสําคัญ แต่
ยังมีหลายแง่มุมทีเบียงเบนอย่างมีนยั สําคัญจากค่าในอุดมคติของพวกมัน คลาสเหล่านีใช้การจูน
นิงเครื อข่ายเอาต์พตุ แบบฮาร์โมนิค เพือให้เกิดประสิ ทธิภาพทีสูงขึนและได้รับการพิจารณาว่า
เป็ น ส่วนย่อยของคลาส C เนืองจากคุณลักษณะมุมการนําของพวกมัน
Class A[แก้]

วงจรขยาย Class A
อุปกรณ์ขยายสัญญาณทีทํางานในคลาส A นํากระแส ตลอดวงรอบของสัญญาณอินพุต
วงจรขยายสัญญาณคลาส A มีความโดดเด่นด้วยขันตอนเอาต์พตุ ทีมีการ bias ให้เป็ นคลาส A (ดู
คํานิยามข้างต้น) ซับคลาส A บางครังใช้เพืออ้างถึงหลอดสุญญากาศ ที grid ถูกขับให้เป็ นบวก
เล็กน้อยบนยอดคลืน ส่งผลให้มีกาํ ลังมากกว่าคลาส A ปกติเล็กน้อย(A1; grid เป็ นลบเสมอ[ ])
แต่ก่อให้เกิดการบิดเบือนมากขึน
ข้ อดีของแอมป์ คลาส A[แก้]
คลาส A ออกแบบเรี ยบง่ายกว่าคลาสอืนๆ; ตัวอย่างเช่นการออกแบบของคลาส AB
และ B จําเป็ นต้องมีอปุ กรณ์สองตัว (Push-Pull output) เพือจัดการแต่ละครึ งของรู ปคลืน; คลาส
A ใช้อุปกรณ์เดียวปลายเดียว
ตัวขยายสัญญาณจะถูกไบอัสเพือให้ผา่ นกระแสได้ตลอดเวลา ปกติจะหมายถึงกระแส
(สัญญาณขนาดเล็ก) ทีคอลเล็กเตอร์(สําหรับทรานซิสเตอร์) หรื อทีเดรน(สําหรับ FET) หรื อที
เพลท (สําหรับหลอดสูญญากาศ) เป็ นกระแสนิงๆ อยูใ่ กล้กบั ส่วนทีเป็ นเส้นตรงของเส้นโค้ง
transconductance มากทีสุด
เนืองจากอุปกรณ์จะไม่มีการปิ ดๆเปิ ดๆ จึงมีปัญหาเพียงเล็กน้อยกับการจัดเก็บประจุ
และทัวไปแล้วประสิ ทธิภาพการทํางานทีความถีสูง อีกทังความมันคงของวงป้ อนกลับจะดีขึน
(และมักจะมีฮาโมนิคอันดับสูงเล็กน้อย)
จุดทีใกล้ทีสุดก่อนทีอุปกรณ์จะถูกตัดออกไม่ได้อยูใ่ กล้กบั สัญญาณศูนย์ ดังนันปั ญหา
ของการบิดเบือนครอสโอเวอร์ ทีเกียวข้องกับการออกแบบคลาส AB และ B ได้ถูกหลีกเลียงไป
ข้ อเสียของแอมป์ คลาส A[แก้]
แอมป์ แบบนีไม่มีประสิ ทธิภาพ ตามทฤษฎีแล้ว สูงสุดเพียง % ถ้าใช้ coupling
เอาต์พตุ แบบเหนียวนํา และเพียง % ถ้าใช้ coupling เอาต์พตุ แบบเก็บประจุ เว้นแต่เจตนาจะ
ใช้ nonlinearities (เช่นใน ขันตอนเอาต์พตุ Square-law) ในพาวเวอร์แอมป์ ไม่เพียงแต่เสี ย
พลังงานไปเปล่าๆและจํากัดการทํางานของแบตเตอรี เท่านัน ค่าใช้จ่ายทีเพิมขึนและอาจมี
ข้อจํากัดของอุปกรณ์เอาต์พตุ ทีสามารถนํามาใช้ได้ (เช่น, เมือตัดหลอดไตรโอดออดิโอบางตัว
ออก เพือรองรับลําโพงประสิ ทธิภาพตําทีทันสมัย) . การขาดประสิ ทธิภาพไม่ได้มาจากเพียงแค่
ความจริ งทีว่าอุปกรณ์ผา่ นกระแสตลอดเวลา(ทีเกิดขึนแม้จะเกิดกับคลาส AB ก็ตาม แต่
ประสิ ทธิภาพของมันใกล้กบั ของคลาส B) นันก็คือกระแสยืนนิงมีประมาณครึ งหนึงของกระแส
เอาต์พตุ สูงสุด (แม้วา่ สิ งนีสามารถมีน้อยลงด้วยขันตอนเอาต์พตุ แบบ square law) และส่วน
ใหญ่ของแรงดันไฟฟ้าทีแหล่งจ่ายไฟทีเกิดคร่ อมอุปกรณ์เอาต์พตุ ทีระดับสัญญาณตํา (
เช่นเดียวกับคลาส AB และ B แต่แตกต่างจากขันตอนเอาต์พตุ เช่น คลาส D) . ถ้าต้องการ
เอาต์พตุ กําลังสูงจากวงจรคลาส A ก็จะเกิดพลังงานสูญเปล่า(และความร้อนทีเกิดขึน). สําหรับ
ทุกๆวัตต์ทีส่งมอบให้กบั โหลด ตัววงจรขยายสัญญาณเอง ทีทําอย่างดีทีสุด ก็จะสร้างความร้อน
ขึนอีกหนึงวัตต์ สําหรับกําลังขยายมากๆ นีหมายถึงแหล่งจ่ายไฟและ heat sink ต้องมีขนาด
ใหญ่และมีราคาแพงมาก
คลาส A ส่วนใหญ่ถูกแทนทีโดยการออกแบบทีมีประสิ ทธิภาพมากขึน แม้วา่ พวกมัน
จะยังคงเป็ นทีนิยมของมือสมัครเล่นบางคน ส่วนใหญ่เป็ นเพราะความเรี ยบง่ายของมัน มีตลาด
สําหรับเอทป์ คลาส A ทีมีราคาแพงและความเทียงตรงสูง "เทพ" ในหมู่นกั เล่นเครื องเสี ยง
[10]
สําหรับแอมป์ ทีไม่มีการบิดเบือนแบบครอสโอเวอร์ และความเพียนฮาร์โมนิคเลขคีและฮาร์
โมนิคขันสูงตํา
แอมป์ แบบ Single-ended และ triode คลาส A[แก้]
คนทีชอบแอมป์ คลาส A ยังชอบใช้ thermionic วาล์ว (หรื อ"หลอด")แทน
ทรานซิสเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิง ในแบบ Single-ended triode output configurations ด้วย
เหตุผลหลายอย่างดังนี:

 แอมป์ ในขันตอนเอาต์พตุ แบบ Single-ended (อาจเป็ นหลอดหรื อทรานซิสเตอร์) มี


ฟังก์ชนั การถ่ายโอนทีไม่สมมาตร ซึงหมายความว่า แม้ในฮาร์โมนิคระดับชันเลขคีใน
การบิดเบือนทีถูกสร้างขึนจะมีแนวโน้มทีจะไม่ถูกหักล้างออกไป (ในช่วงขันตอน
เอาต์พตุ แบบ Push-Pull); สําหรับหลอดหรื อ FETs, การบิดเบือนส่วนใหญ่จะเป็ นฮาโม
นิคส์ระดับขันทีสอง, จากลักษณะ การถ่ายโอนตามกฏ square law ซึงบางตัวจะผลิต
เสี ยง "อุ่นขึน" และน่าพอใจมากขึน[ ][ ]
 สําหรับผูท้ ีชืนชอบการบิดเบือนตัวเลขตํา การใช้งานของหลอดคลาส A (ทีสร้างการ
บิดเบือน ฮาร์โมนิคเลขคีเล็กๆน้อยๆทีกล่าวถึงข้างต้น) ร่ วมกับวงจร สมมาตร (เช่น
ขันตอนเอาต์พตุ Push-Pull หรื อขันตอนในระดับตําทีสมดุล) ส่งผลในการหักล้างส่วน
ใหญ่ของฮาร์โมนิคส์ผดิ เพียนเลขคู่ จึงเป็ นการกําจัดส่วนใหญ่ของการบิดเบือน
 ความเพียนเป็ นลักษณะสมบัติของเสี ยงจากเครื องขยายเสี ยงกีตาร์ไฟฟ้า
 ในอดีต, แอมป์ วาล์ว มักจะใช้พาวเวอร์แอมป์ คลาส A เพียงเพราะว่าวาล์วมีขนาดใหญ่
และมีราคาแพง ; การออกแบบคลาส A เป็ นจํานวนมากทีใช้ ตัวขยายสัญญาณเพียงตัว
เดียว
ทรานซิสเตอร์จะถูกกว่ามาก และการออกแบบทีซับซ้อนมากขึนทีให้ประสิ ทธิภาพมาก
ขึนและใช้ชินส่วนอืนๆมากขึนยังทําให้มีค่าใช้จ่ายทีมีประสิ ทธิภาพดีอยู่ การประยุกต์ใช้แบบ
คลาสสิ กสําหรับหนึงคู่ของอุปกรณ์คลาส A ก็คือ คู่หางยาว (อังกฤษ: long-tailed pair) ซึง
เป็ นบบ เชิงเส้นยกเว้น และสร้างเป็ นรู ปแบบพืนฐานของวงจรทีซับซ้อนมากๆ รวมถึง
วงจรขยายสัญญาณเสี ยงออดิโอทังหลาย และเกือบทังหมดของออพแอมป์
แอมป์ Class A มักจะถูกใช้ในขันตอนเอาต์พตุ ของออพแอมป์ คุณภาพสูง (แม้วา่ ความ
แม่นยําของ bias ในออพแอมป์ ตันทุนตํา เช่น อาจส่งผลในคลาส A หรื อ AB หรื อ B ที
แตกต่างกันไปจากอุปกรณ์ตวั หนึง ไปยังอุปกรณ์อีกตัวหนึง หรื อเปลียนแปลงไปตามอุณหภูมิ)
บางครังมันยังถูกใช้เป็ นแอมป์ ออดิโอพลังงานขนาดกลางทีมีประสิทธิภาพตําและค่าใช้จ่ายสูง
การบริ โภคพลังงานไม่มีความเกียวข้องกับพลังงานทีเอาต์พตุ ในขณะว่างงาน (ไม่มีอินพุท),
การบริ โภคพลังงานจะเท่ากับปริ มาณพลังงานทีมีเอาต์พตุ สูง ผลทีได้คือประสิ ทธิภาพตําและ
การกระจายความร้อนทีสูง
Class B[แก้]

วงจรขยาย Class B

วงจรขยาย Class B Push-Pull


วงจรขยายสัญญาณ Class B จะขยายครึ งหนึงของวงรอบคลืนอินพุตเท่านัน ดังนันจึง
สร้างการบิดเบือนเป็ นจํานวนมาก แต่ ประสิ ทธิภาพจะดีขึนอย่างมากและจะดีกว่าแอมป์ คลาส
A. นอกจากนีแอมป์ Class B ยัง เป็ นทีชืนชอบในอุปกรณ์ทีทํางานด้วยแบตเตอรี เช่น วิทยุ
ทรานซิสเตอร์ Class B มีประสิ ทธิภาพสูงสุดตามทฤษฎีของ π/ (กล่าวคือ . %) เป็ นเพราะ
ตัวขยายสัญญาณจะปิ ดโดยสิ นเชิงครึ งหนึงของเวลาจึงไม่สามารถกระจายความร้อนในช่วงนัน
ตัวขยายคลาส B ดังกล่าวทีเป็ นตัวเดียว ไม่ค่อยพบในทางปฏิบตั ิ แม้วา่ มันจะถูกนํามาใช้เพือขับ
ลําโพงในช่วงต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไอบีเอ็มด้วยเสี ยงบีบ และมันสามารถถูกนํามาใช้
ในพาวเวอร์แอมป์ RF ทีระดับความเพียนมีความสําคัญน้อย อย่างไรก็ตามคลาส C ถูกนํามาใช้
สําหรับงานนีกันอย่างแพร่ หลายมากกว่า
ในทางปฏิบตั ิ วงจรใช้ตวั ขยายคลาส B คือขันตอน push–pull เช่นการจัดเป็ นคู่เสริ ม
อย่างง่าย มากทีแสดงด้านล่าง ทีนีอุปกรณ์เสริ มหรื อกึงเสริ มทีใช้ในการขยายในแต่ละครึ งของ
สัญญาณ อินพุท แล้วจะถูกรวมกันใหม่ทีเอาต์พตุ การจัดเป็ นคู่แบบนีจะให้ประสิ ทธิภาพทีดี
เยียม แต่ สามารถประสบอุปสรรคทีมีการไม่แมทช์กนั เล็กน้อยในบริ เวณรอยต่อระหว่างสอง
ส่วนของสัญญาณ ในขณะทีอุปกรณ์เอาต์พตุ ตัวหนึงจะต้องเข้าทํางานจ่ายพลังงานแทนใน
ขณะทีอีกอุปกรณ์หนึงทํางานเสร็จ สิ งนีเรี ยกว่าการบิดเบือนครอสโอเวอร์ การปรับปรุ งวิธีหนึง
คือการไบอัสอุปกรณ์เพือให้มนั ไม่หยุดทํางานอย่างสมบูรณ์ เมือมันไม่ได้ทาํ งาน วิธีการนี
เรี ยกว่า การทํางานคลาส AB
คลาส AB[แก้]
คลาส AB ถือว่าเป็ นประนีประนอมทีดีสาํ หรับพาวเวอร์แอมป์ ออดิโอ เนืองจากเวลาที
นานมากของช่วงทีเพลงเงียบ ทีนานพอทีจะทําให้สญ ั ญาณคงอยูใ่ นบริ เวณ"คลาส A" ในทีซึง
มันจะถูก ขยายด้วยความชัดเจนทีดี (อังกฤษ: good fidelity) และโดยนิยาม ถ้าผ่านออกไปจาก
บริ เวณนี เวลาจะนานมากพอทีจะทําให้ผลิตภัณฑ์ของการบิดเบือนโดยทัวไปของคลาส B มี
ขนาดค่อนข้างเล็ก การบิดเบือนครอสโอเวอร์สามารถทําให้ลดลงได้อีกโดยการใช้การ
ป้ อนกลับเชิงลบ
ในการดําเนินงานคลาส AB, แต่ละอุปกรณ์จะดําเนินงานเช่นเดียวกับในคลาส B
มากกว่าครึ งหนึงของรู ปคลืน แต่ยงั นํากระแสขนาดเล็กๆในรู ปคลืนอีกครึ งหนึง ผลก็คือพืนทีที
อุปกรณ์ทงสองเกื
ั อบจะปิ ดพร้อมกัน ("dead zone") จะลดลง ผลทีได้คือ เมือคลืนจากทังสอง
อุปกรณ์นีจะถูกนํามารวมกัน, ครอสโอเวอร์จะลดลงอย่างมาก หรื อหักล้างกันไปโดยสิ นเชิง
ทางเลือกทีถูกต้องของกระแสนิง หรื อกระแสทีไหลขณะทีไม่มีสญ ั ญาณอินพุท จะทําให้เกิด
ความแตกต่างอย่างมากในขนาดของการบิดเบือน (และความเสี ยงของไหลเชียวอันเนืองจาก
อุณหภูมิทีอาจสร้างความเสี ยหายต่ออุปกรณ์); ดังนัน แรงดันไบอัสทีใช้เพือตังค่ากระแสนิงนี
มักจะต้องถูกปรับด้วยอุณหภูมิของทรานซิสเตอร์เอาต์พตุ (เช่น ในวงจรทีเริ มต้นของบทความนี
ไดโอดจะถูกติดตังอยูใ่ กล้กบั ทรานซิสเตอร์เอาต์พตุ และถูกเลือกให้มีค่าสัมประสิทธิอุณหภูมิ
ตรงกัน) วิธีการอีกอย่างหนึง (มักจะใช้แบบเดียวกับแรงดันไบอัสเพือติดตามอุณหภูมิ) ก็คือการ
เพิมตัวต้านทาน ค่าน้อยๆ อนุกรมกับ emitters คลาส AB เสี ยสละประสิ ทธิภาพบางส่วน
เหนือกว่าคลาส B เพือให้ได้ความเป็ นเชิงเส้น ประสิ ทธิภาพจึงน้อยกว่า (ตํากว่า . % สําหรับ
sinewaves เต็มคลืนในแอมป์ ทรานซิสเตอร์ ; น้อยกว่าคลาส AB แอมป์ หลอดสุญญากาศ)มาก
โดยทัวไปจะมีประสิ ทธิภาพมากกว่าคลาส A.
บางครัง ตัวเลขจะถูกเพิมข้างท้ายสําหรับหลอดสุญญากาศ ถ้าแรงดันไฟฟ้าทีกริ ด เป็ น
ลบอยูต่ ลอดเวลาเมือเทียบกับแคโทด จะเป็ นคลาส AB ถ้ากริ ดได้รับอนุญาตให้เป็ นบวกได้
เล็กน้อย (ทําให้มีกระแสทีกริ ด เป็ นการเพิมการบิดเบือนมากขึน แต่ให้กาํ ลังของเอาต์พตุ สูงกว่า
เล็กน้อย )ทียอดของสัญญาณ จะเป็ นคลาส AB2
Class C[แก้]
วงจรขยาย Class C
แอมป์ คลาส C นํากระแสน้อยกว่า % ของสัญญาณเข้า และการบิดเบือนทีเอาต์พตุ อยู่
ในระดับสูง แต่มีประสิ ทธิภาพสูง ( % ขึนไป) การประยุกต์ใช้ทวไปสํ
ั าหรับแอมป์ ชนิดนีจะ
เป็ นเครื องส่งสัญญาณ RF ทีทํางานทีความถีเดียวคงที ในทีซึง การบิดเบือนจะถูกควบคุมโดย
การปรับโหลดบนตัวขยายสัญญาณ สัญญาณอินพุทจะถูกใช้ในการสลับอุปกรณ์ทีใช้งาน
ก่อให้เกิดคลืนของกระแสทีไหลผ่านวงจรปรับแต่งทีประกอบขึนมาเป็ นส่วนหนึงของโหลด
แอมป๋ คลาส C มีสองโหมดของการดําเนินงาน : ปรับและไม่ปรับ แผนภาพแสดงให้
เห็นถึง สัญญาณจากวงจรคลาส C ง่ายๆโดยปราศจากโหลดปรับ การมํางานแบบนีเรี ยกว่าแบบ
untuned และการวิเคราะห์รูปคลืนได้แสดงให้เห็นถึงการบิดเบือนขนาดใหญ่ทีปรากฏใน
สัญญาณ เมือใช้โหลดทีเหมาะสม (เช่นตัวกรอง inductive-capacitive บวกกับโหลดตัว
ต้านทาน) มีสองสิ งเกิดขึน สิ งแรกคือ ระดับไบอัสของเอาต์พตุ จะถูกบีบด้วยแรงดัน output
เฉลียเท่ากับแรงดันทีแหล่งจ่าย นีคือเหตุผลทีการทํางานแบบปรับ บางครังเรี ยกว่า clamper
วิธีการนีจะช่วยให้ รู ปแบบของคลืนคืนกลับไปยังรู ปร่ างทีเหมาะสมของมัน แม้จะมีตวั ขยาย
สัญญาณจะมีแหล่งจ่ายเพียงขัวเดียว สิ งนีจะเกียวข้องโดยตรงกับปรากฏการณ์ทีสอง : รู ปคลืน
ความถีทีศูนย์กลางถูกบิดเบียวน้อย การบิดเบือนทีค้าง จะขึนอยูก่ บั แบนด์วดิ ธ์ของโหลดปรับ
ด้วยความถีทีศูนย์กลางทีมีการบิดเบือนน้อยมาก แต่การลดทอนจะยิงมากขึนเมือความถีของ
สัญญาณทีได้รับยิงไกลจากความถีปรับ
วงจรปรับจะสะท้อน ทีความถีหนึงหรื อเรี ยกว่าความถีพาหะทีคงที และ ดังนัน ความถี
ทีไม่พึงประสงค์จะถูกระงับ และสัญญาณเต็มรู ปแบบทีต้องการ (คลืนซายน์) จะถูกแยกออก
ด้วยโหลดปรับ แบนด์วดิ ธ์ของแอมป์ จะถูกจํากัดโดย Q -factor ของวงจรปรับแต่นีไม่ได้เป็ น
ข้อจํากัดทีร้ายแรง ฮาโมนิคส์ใดๆทีค้างอยูจ่ ะถูกลบออกโดยใช้ตวั กรองขันต่อไป
แอมป์ คลาส C ในทางปฏิบตั ิ โหลดปรับจะถูกใช้อย่างสมําเสมอ ในการจัดการทัวไป
ตัวต้านทานทีแสดงในวงจรข้างต้นจะถูกแทนทีด้วยวงจรปรับแบบขนาน ทีประกอบด้วยตัว
เหนียวนํา และ ตัวเก็บประจุต่อขนานกัน องค์ประกอบของชินส่วนสองตัวนีถูกเลือกให้รี
โซเนททีความถีของสัญญาณอินพุท พลังงานสามารถจ่ายให้กบั โหลดโดยหม้อแปลงไฟฟ้าทีมี
ขดลวดเหนียวนําทุติยภูมิพนั รอบตัวเหนียวนํา แรงดันไฟฟ้าเฉลียทีขา drain จะเท่ากับ
แหล่งจ่ายไฟและ แรงดันไฟฟ้าของสัญญาณทีปรากฏคร่ อมวงจรปรับความถีจะแปรจากใกล้
ศูนย์ถึงใกล้สองเท่าของแหล่งจ่ายไฟระหว่างวงรอบของ RF วงจรอินพุตจะถูก bias เพือว่า
องค์ประกอบทีแอคทีฟ (เช่น ทรานซิสเตอร์ ) จะนํากระแสเพียงเศษเสี ยวของวงรอบ RF, มักจะ
เป็ นหนึงในสาม ( องศา) หรื อน้อยกว่า
องค์ประกอบทีแอคทีฟจะนํากระแสในขณะทีแรงดันของ drain จะผ่านจุดตําสุดเท่านัน
โดยวิธีการนี พลังงานความร้อนในอุปกรณ์แอคทีฟจะถูกทําให้ตาสุ ํ ด และมีประสิ ทธิภาพ
เพิมขึน ในทางอุดมคติ ชินส่วนแอคทีฟจะปล่อยผ่านกระแสทีเป็ นพัลส์เพียงชัวขณะเท่านัน
ในขณะทีแรงดันไฟฟ้าทีตกคร่ อมตัวมันเป็ นศูนย์ : มันก็ไม่กระจายความร้อนและมี
ประสิ ทธิภาพ % อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ในทางปฏิบตั ิจะมีขีดจํากัดของกระแสสูงสุดทีมัน
สามารถปล่อยผ่านได้ เพราะฉะนัน พัลส์จึงต้องถูกทําให้กว้างขึน ถึงประมาณ องศา เพือให้
ได้จาํ นวนพลังงานทีเหมาะสม และประสิ ทธิภาพที - %
Class D[แก้]
บทความหลัก: Class D amplifier

ไดอะแกรมของวงจรขยายสัญญาณแบบการสบล็อกลับขันพืนฐานหรื อ PWM (คลาส D)


เครื องขยายเสี ยงออดิโอในรถยนต์แบบโมโนของบอสทีมีตวั กรอง low pass สําหรับจ่าย
พลังให้กบั ซับวูฟเฟอร์
ในแอมป์ คลาส D สัญญาณอินพุทจะถูกแปลงเป็ นพัลส์เรี ยงลําดับทีมีแรงดันเอาต์พตุ สูง
กว่า ค่ากําลังงานโดยเฉลียตามเวลาของพัลส์เหล่านีเป็ นสัดส่วนโดยตรงกับขนาดของสัญญาณ
อินพุท ความถีของพัลส์เอาต์พตุ ปกติจะเป็ นสิ บเท่าหรื อมากกว่าความถีทีสูงทีสุดของสัญญาณ
อินพุท พัลส์ทีเอาต์พตุ ประกอบด้วยชินส่วนทีมีสเปกตรัมไม่ถูกต้อง (นันคือ ความถีพัลส์และ
ฮาร์โมนิคส์ของมัน) ซึงจะต้องถูกถอดออกโดยตัวกรองพาสซีฟแบบ low-pass สัญญาณทีถูก
กรองแล้วนีจะเป็ นแบบจําลองของอินพุททีถูกขยาย
วงจรขยายสัญญาณเหล่านีใช้ pulse width modulation, pulse density modulation
(บางครังเรี ยกว่า pulse frequency modulation) หรื อรู ปแบบทีก้าวหน้ากว่าของการมอดูเลชัน
เช่น Delta-sigma modulation (เช่น ใน Analog Devices AD พาวเวอร์แอมป์ ออดิโอคลาส
D) ขันตอนเอาต์พตุ เช่นทีใช้ในเครื องสร้างสัญญาณพัลส์ เป็ นตัวอย่างของแอทป์ คลาส D คําว่า
คลาส D เป็ นคําทีมักจะใช้กบั อุปกรณ์ทีมีจุดมุ่งหมายในการสร้างสัญญาณขึนมาใหม่ ทีมี แบนด์
วิดธ์ทีตํากว่าความถึในการสวิตช์
แอมป์ Class D สามารถควบคุมได้โดยวงจรแอนะล็อกหรื อดิจิตอล การควบคุมแบบ
ดิจิตอล จะสร้างการบิดเบือนเพิมเติมทีเรี ยกว่า quantization error ทีเกิดจากการแปลงสัญญาณ
อินพุตให้เป็ นค่าดิจิตอล
ข้อได้เปรี ยบหลักของแอมป์ คลาส D ก็คือประสิ ทธิภาพพลังงาน เพราะพัลส์เอาต์พตุ มี
แอมพลิจูดคงที อุปกรณ์ทีใช้ในการสลีบ(ปกติคือ MOSFETs แต่วาล์ว(หลอดสุญญากาศ) และ
ทรานซิสเตอร์สองขัวก็เคยถูกนํามาใช้) จะถูกสลับให้ ON หรื อ OFF อย่างสมบูรณ์ แทนทีจะ
ทํางานอยูใ่ นโหมดเชิงเส้น MOSFET จะทําตัวเป็ นตัวต้านทานทีมีต่าความต้านทานตําสุดในข
ระ ON อย่างสมบูรณ์ (และมีความต้านทานสูงสุดเมือ OFF อย่างสมบูรณ์) และทําให้มีการ
กระจายความร้อนน้อยทีสุด เมือเทียบกับแอมป์ คลาส AB การสูญเสี ยทีตํากว่าของแอมป์ คลาส
D จะใช้ heat sink ขนาดเล็กสําหรับ MOSFETs ในขณะทียังสามารถลดปริ มาณของพลังงานที
อินพุททีจําเป็ น แหล่งจ่ายไฟก็สามารถออกแบบให้ลดขนาดลงด้วย เพราะฉะนัน, แอมป์ คลาส
D โดยทัวไปจะมีขนาดเล็กกว่าแอมป์ คลาส AB
แอมป์ Class D มีการใช้กนั อย่างแพร่ หลายเพือควบคุมการทํางานของมอเตอร์ แต่
ตอนนีพวกมันยังถูกใช้เป็ นพาวเวอร์แอมป์ ออดิโอ ทีมีวงจรพิเศษบางอย่างเพือเปลียนสัญญาณ
แอนะล็อก ให้เป็ นสัญญาณทีถูกมอดูเลทแบบความกว้างทีมีความถีสูงมาก
พาวเวอร์แอมป์ ออดิโอคลาส D ทีมีคุณภาพสูงหาซือได้ในตลาดปัจจุบนั การออกแบบ
ได้รับ การกล่าวถึงว่าเป็ นคู่แข่งของแอมป์ AB แบบดังเดิม ในแง่ของคุณภาพ การใช้งานในตอน
เริ มต้นของแอมป์ คลาส D เป็ นเครื องขยายเสี ยงซับวูฟเฟอร์กาํ ลังสูงในรถยนต์ เพราะว่าซับวูฟ
เฟอร์ทวไปอาจถู
ั กจํากัดแบนด์วดิ ธ์ทีไม่สูงกว่า Hz ความเร็ วในการสลับ สําหรับตัวขยาย
สัญญาณไม่จาํ เป็ นต้องสูงทีสุดเท่ากําลังการขยายทังชุด ทําให้การออกแบบง่ายขึน แอมป์ คลาส
D เพือขับซับวูฟเฟอร์มีราคาค่อนข้างไม่แพง เมือเทียบกับแอมป์ คลาส AB
ตัวอักษร D ทีใช้ในการกําหนดคลาสของแอมป์ นี เป็ นเพียงตัวอักษรตัวถัดไปอักษร C
และไม่ เป็ นตัวย่อของคําว่าดิจิทลั แอมป์ Class D และแอมป์ คลาส E บางครังก็ถูกอธิบายผิด
เป็ น " ดิจิทลั " เพราะสัญญาณ output ดุเผิน ๆ คล้ายกับขบวนของพัลส์ทีมีสญ ั ญลักษณ์ของ
ดิจิทลั แต่แอมป์ คลาส D เพียงแปลงสัญญาณอินพุตทีเข้ามาอย่างต่อเนืองให้เป็ น สัญญาณแอ
นะล็อกทีถูกมอดูเลทแบบกว้าง (คลืนรู ปสี เหลียม) (รู ปคลืนดิจิทลั ทีเป็ นรหัสของพัลส์ทีถูกมอดู
เลท)
คลาสเพิมเติม[แก้]
คลาส E[แก้]
ตัวขยายคลาส E/F เป็ นตัวขยายกําลังแบบสวิตชิงประสิทธิภาพสูง โดยทัวไปถูกที
ความถีสูงมากซะจนกระทังเวลาในการสวิตช์เทียบได้กบั เปรี ยบได้กบั duty time ตามทีกล่าวไว้
ในตัวขยายคลาส D, ทรานซิสเตอร์ถูกเชือมต่อผ่านวงจร LC อนุกรมไปทีโหลดและถูกเชือมต่อ
ผ่าน L (ตัวเหนียวนํา)ขนาดใหญ่ไปยังแหล่งจ่ายไฟ แหล่งจ่ายไฟถูกเชือมต่อกับกราวด์ผา่ นตัว
เก็บประจุขนาดใหญ่ตวั หนึงเพือป้ องกันไม่ให้สญ
ั ญาณ RF ใดๆรัวไหลลงไปยังแหล่งจ่ายไฟ ตัว
ขยายคลาส E จะเพิม C (ตัวเก็บประจุ)อีกหนึงตัวระหว่างทรานซิสเตอร์กบั กราวด์ และใช้ L ที
กําหนดให้เพือเชือมต่อกับแหล่งจ่ายไฟ

วงจรขยายคลาส E
คําอธิบายต่อไปนีจะไม่สนใจ DC ซึงสามารถถูกเพิมได้ง่ายในภายหลัง C และ L
ดังกล่าวข้างต้นจะเป็ นวงจรขนาน LC กับกราวด์ เมือทรานซิสเตอร์นาํ กระแสหรื ออยูใ่ นสถานะ
เปิ ด(ทํางาน) กระแสจะไหลผ่านวงจรอนุกรม LC ไปยังโหลดและบางส่วนเริ มทีจะไหลไปยัง
วงจรขนาน LC ลงกราวด์ จากนัน วงจรอนุกรม LC จะสวิงกลับและไปชดเชยกระแสลงใน
วงจรขนาน LC ณ จุดนี กระแสผ่านทรานซิสเตอร์เป็ นศูนย์หรื ออยูใ่ นสถานะปิ ด(ไม่ทาํ งาน)
วงจร LC ทังสองวงจรตอนนี จะถูกเติมด้วยพลังงานใน C และ L ทังวงจรจะ oscillate ทีเปี ยก
ชืน การทําให้หมาด ๆโดยโหลดได้รับการปรับเพือทีว่าเวลาต่อมาพลังงานจาก L ทุกตัวจะถูก
ส่งไปทีโหลด แต่ พลังงานใน C จะขึนสูงสุดทีค่าเดิมเพือมีผลในการเรี ยกคืนแรงดันไฟฟ้า
ดังเดิมเพือให้แรงดันไฟฟ้าคร่ อมทรานซิสเตอร์เป็ นศูนย์และมันจะสามารถถูกทําให้อยูใ่ น
สถานะเปิ ด(ทํางาน)ได้ใหม่อีกครัง
เมือมีโหลด ความถีและ duty cycle ( . ) เป็ นเหมือนกับพารามิเตอร์และข้อจํากัดที
กําหนดให้วา่ แรงดันไฟฟ้าจะไม่ถกู เรี ยกคืนเท่านัน, แต่ขึนสู่จุดสูงสุดทีแรงดันเดิม, พารามิเตอร์
ทังสี (L, L0, C และ C ) จะถูกกําหนด ตัวขยายคลาส E นําความต้านทานทีชัดเจนมาพิจารณา
และพยายามทีจะทําให้กระแสแตะจุดตําสุดทีศูนย์ ซึงหมายความว่าแรงดันและกระแสที
ทรานซิสเตอร์จะมีความสมมาตรเมือเทียบกับเวลา การแปลงของฟูริเย(อังกฤษ: Fourier
transform) ช่วยให้การกําหนดทีสง่างามในการสร้างเครื อข่าย LC ทีซับซ้อน และบอกว่าฮาร์โม
นิคแรกถูกผ่านเข้าไปในโหลด, ฮาร์โมนิคเลขคูท่ งหมดจะถู
ั ก shorted และฮาร์โมนิคเลขคีทีสูง
กว่าทังหมดจะ open
คลาส E ใช้แรงดันไฟฟ้าฮาร์โมนิคทีสองเป็ นจํานวนมาก ฮาร์โมนิคทีสองสามารถ
นํามาใช้เพือลดความเหลือมลําทีขอบด้วยความคมชัดทีแน่นอน เพือให้มนั ทํางาน พลังงานบน
ฮาร์โมนิคทีสองต้องไหลจากโหลดไปยังทรานซิสเตอร์, และแหล่งจ่ายไฟของเรื องนีจะไม่
สามารถมองเห็นได้ในแผนภาพวงจร ในความเป็ นจริ ง อิมพีแดนซ์เป็ นปฏิกิริยาเสี ยส่วนใหญ่
และเหตุผลเดียวทีมันเป็ นเช่นนันก็คือคลาส E เป็ นตัวขยายคลาส F (ดูดา้ นล่าง)ทีมีเครื อข่าย
โหลดอย่างง่ายมากๆ และนีเองทีมันต้องทําธุรกิจกับความไม่สมบูรณ์
ในการจําลองแบบมือสมัครเล่นของแอมป์ คลาส E หลายครัง, ขอบกระแสทีคมชัดจะ
ถือว่าเป็ นแรงจูงใจทีไร้ผลสําหรับคลาส E และการวัดใกล้ความถีขนส่งของทรานซิสเตอร์จะ
แสดงเส้นโค้งทีสมมาตรมากซึงมีลกั ษณะคล้ายกับแบบจําลองของคลาส F
แอมป์ คลาส E ถูกคิดค้นในปี โดย นาธาน โอ Sokal และอลัน D. Sokal และ
รายละเอียด ถูกตีพิมพ์ครังแรกในปี [ ]
บางรายงานก่อนหน้าในปฏิบตั ิการของคลาสนี
ได้รับการตีพิมพ์ในรัสเซีย
คลาส F[แก้]
ในแอมป์ แบบ push–pull และใน CMOS, ฮาร์โมนิคเลขคูข่ องทรานซิสเตอร์ทงสองตั
ั ว
เพียงแค่ หักล้างกัน การทดลองแสดงให้เห็นว่าคลืนสี เหลียมสามารถถูกสร้างขึนโดยแอมป์
เหล่านัน คลืน สี เหลียมตามทฤษฎีประกอบด้วยฮาร์โมนิคเลขคีเท่านัน ในแอมป์ คลาส-D ตัว
กรองเอาต์พตุ จะบล็อกฮาร์โมนิคทังหมด นันคือ ฮาร์โมนิคจะเห็นโหลดเปิ ด ดังนันแม้กระแส
เพียงเล็กน้อยในฮาร์โมนิคก็พอเพียงเพือสร้างแรงดันคลืนสี เหลียม กระแสจะ in phase กับ
แรงดันไฟฟ้าทีจ่ายให้ตวั กรอง แต่แรงดันไฟฟ้าตกครอมทรานซิสเตอร์จะ out of phase ดังนัน
จึงมีการซ้อนทับกันน้อยทีสุดระหว่างกระแสทีไหลผ่านทรานซิสเตอร์กบั แรงดันไฟฟ้าตกคร่ อม
ทรานซิสเตอร์ ขอบยิงคมชัดเท่าไร การทับซ้อนยิงน้อยเท่านัน
ขณะทีอยูใ่ นคลาส D ทรานซิสเตอร์และโหลดอยูเ่ ป็ นสองโมดูลแยก คลาส F ยอมรับ
ความไม่สมบูรณ์ เช่นการเป็ นกาฝากของทรานซิสเตอร์และคลาส F พยายามทีจะเพิม
ประสิ ทธิภาพของระบบทัวโลกทีจะมีอิมพีแดนซ์สูงสําหรับฮาร์โมนิค แน่นอนจะต้องมี
แรงดันไฟฟ้าในทรานซิสเตอร์ ทีจะผลักดันกระแสข้ามสภาวะ ON เพราะกระแสทีถูกนํามา
รวมกันผ่านทรานซิสเตอร์ทงสองส่
ั วนใหญ่จะเป็ นฮาร์มอนิคแรกทีดูเหมือนรู ปซายน์ นัน
หมายความว่า ในช่วงกลางของคลืนสี เหลียม กระแสสูงสุดต้องไหล ดังนันมันอาจเข้าท่าทีจะมี
รอยบุ๋มในคลืนสี เหลียม หรื อพูดอีกทีก็คือการยอมให้มีการแกว่งเกินของแรงดันไฟฟ้าคลืน
สี เหลียม เครื อข่ายโหลดคลาส F โดยนิยามต้องส่งใต้ความถี cutoffและสะท้อนให้เห็นถึง
เรื องราวข้างต้น
ความถีใดๆทีอยูต่ ากว่
ํ าความถี cutoff และมีฮาโทนิคส์ทีสองสูงกว่าความถี cutoff จะ
สามารถทีจะถูกขยายได้ นันคือแบนด์วดิ ท์ทีแปดอันหนึง ในทางตรงกันข้ามวงจรอนุกรม LC ที
มีค่าเหนียวนําสูงหนึงตัวกับค่าความจุปรับได้หนึงตัวอาจเป็ นวงจรง่ายๆในการนํามาใช้ โดยการ
ลด duty cycle ให้ตากว่
ํ า . , ความสูงของเอาต์พตุ สามารถถูกมอดูเลทได้ แรงดันรู ปคลืน
สี เหลียมจะลดสถานะลง แต่ความร้อนทีมากเกินไปใดๆจะถูกชดเชยโดยการไหลของกําลังงาน
โดยรวมทีตํากว่า การ mismatch ของโหลดใดๆทีอยูห่ ลังตัวกรองทําได้แต่เพียงดําเนินการกับ
รู ปคลืนกระแสฮาร์โมนิคแรกเท่านัน เห็นได้ชดั เฉพาะโหลดความต้านทานทีแท้จริ งเท่านัน
จากนัน ความต้านทานยิงตํา กระแสยิงสูง
คลาส F สามารถขับเคลือนโดยคลืนไซน์หรื อคลืนสี เหลียม, สําหรับคลืนไซน์ อินพุท
สามารถถูกจูนโดยตัวเหนียวนําหนึงตัวเพือเพิมเกน ถ้าคลาส F จะถูกทําขึด้วยทรานซิสเตอร์ตวั
เดียว ตัวกรองจะมีความซับซ้อนในการช็อตฮาร์โมนิคส์เลขคู่ทงหลาย
ั การออกแบบทังหมด
ก่อนหน้านีใช้ขอบของคลืนทีคมเพือลดการทับซ้อน
คลาส G และ H[แก้]

คลาส G
คลาส H

การมอดูเลทแรงดันไฟฟ้าราง

แผนผังพืนฐานของ configuration คลาส H


แอมป์ มีการออกแบบทีหลากหลายเพือช่วยเพิมขันตอนเอาต์พตุ ของคลาส AB ด้วย
เทคนิคทีมีประสิ ทธิภาพมากขึนเพือบรรลุประสิ ทธิภาพให้มากขึนด้วยการบิดเบือนทีตํา การ
ออกแบบเหล่านี เป็ นเรื องธรรมดาในตัวขยายเสี ยงขนาดใหญ่ เนืองจากฮีทซิงค์และหม้อแปลง
ไฟฟ้าเพาเวอร์ไม่สามารถทําให้มีขนาดใหญ่ได้ (และค่าใช้จ่ายสูง)โดยไม่เพิมประสิทธิภาพ คํา
ว่า "คลาส G " และ "คลาส H"จะถูกใช้สลับกันเพืออ้างถึงการออกแบบทีแตกต่างกัน เปลียนไป
ในการกําหนดจากผูผ้ ลิตหรื อเอกสาร
แอมป์ ลาส G (ซึงใช้"รางสวิตช์" เพือลดการใช้พลังงานและเพิมประสิ ทธิภาพ) มี
ประสิ ทธิภาพมากกว่าแอมป์ คลาส AB แอมป์ เหล่านีจ่ายรางไฟหลายรางทีแรงดันไฟฟ้าแตกต่าง
กันและสลับรางไปมาระหว่างรางพวกนีเมือสัญญาณเอาต์พตุ เข้าใกล้แต่ละระดับ ดังนัน แอมป์
จะเพิมประสิ ทธิภาพโดยการลดพลังงานทีสูญเปล่าทีทรานซิสเตอร์เอาต์พตุ แอมป์ คลาส G มี
ประสิ ทธิภาพมากกว่าคลาส AB แต่มีประสิ ทธิภาพน้อยกว่าเมือเทียบกับคลาส D โดยไม่มี
ผลกระทบ EMI เชิงลบของคลาส D แอมป์ คลาส H ใช้ความคิดของคลาส G หนึงขันตอนใน
การสร้างรางทีจ่ายกําลังทีแปรได้ไม่จาํ กัดเพิมเข้าไป สิ งนีจะกระทําโดยการมอดูเลทรางจ่ายไฟ
เพือให้รางเหล่านันมีแรงดันมีขนาดไม่กีโวลท์ใหญ่กว่าสัญญาณเอาต์พตุ ณ เวลาใดเวลาหนึง
ขันตอนของเอาต์พตุ จะทํางานทีมีประสิ ทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา แหล่งจ่ายไฟแบบสลับโหมด
สามารถถูกใช้ในการสร้างรางต่างๆได้ เกนประสิ ทธิภาพอย่างมีนยั สําคัญสามารถทําสําเร็ จได้
แต่มีขอ้ เสี ยเปรี ยบของการออกแบบ แหล่งจ่ายไฟทีซับซ้อนมากขึนและลดประสิ ทธิภาพการ
ทํางานของ THD ลง ในการออกแบบธรรมดา แรงดันตกลงประมาณ V จะถูกรักษาระดับนี
ไว้บนทรานซิสเตอร์เอาต์พตุ ในวงจรคลาส H ภาพข้างบนแสดงให้เห็นถึงแหล่งจ่ายไฟบวกของ
ขันตอนเอาต์พตุ และแรงดันไฟฟ้าทีเอาต์พตุ ของลําโพง การเพิมแรงดันแหล่งจ่ายไฟถูกแสดง
สําหรับสัญญาณเพลงจริ ง
สัญญาณแรงดันไฟฟ้าทีแสดงจึงเป็ นรุ่ นทีใหญ่กว่าของอินพุท แต่ถกู เปลียนเครื องหมาย
(เป็ นตรงข้าม)โดยการขยาย การเตรี ยมการอืนๆของอุปกรณ์ขยายมีความเป็ นไปได้ แต่ทีให้มา
(นันคือ อีมิตเตอร์ร่วม แหล่งทีมาร่ วม หรื อ แคโทดร่ วม) เป็ นสิ งทีง่ายทีสุดทีจะเข้าใจและใช้ได้
ในทางปฏิบตั ิ ถ้าชินส่วนขยายเป็ นแบบเชิงเส้น เอาต์พตุ ก็จะเป็ นเป็ นสําเนาทีซือสัตย์ของอินพุท
เพียงแต่ใหญ่กว่าและกลับหัวเท่านัน ในทางปฏิบตั ิ ทรานซิสเตอร์ไม่เป็ นเชิงเส้นและเอาต์พตุ จะ
ใกล้เคียงกับอินพุทเท่านัน การไม่เป็ นเชิงเส้นจากหลายแหล่งทีมาจะเป็ นทีมาของการบิดเบือน
ภายใน ตัวขยาย คลาสของตัวขยาย (A, B , AB หรื อ C )ขึนอยูก่ บั ว่าอุปกรณ์ขยายจะถูกไบอัส
อย่างไร แผนภาพได้ละเว้นวงจรไบอัสเพือความชัดเจน
แอมป์ แท้จริ งใดๆคือการตระหนักถึงความไม่สมบูรณ์ของแอมป์ ในอุดมคติ ข้อจํากัดที
สําคัญของแอมป์ แท้จริ งก็คือการทีเอาต์พตุ ทีมันสร้างจะถูกจํากัดในทีสุดโดยพลังทีมีอยูจ่ าก
แหล่งจ่ายไฟ แอมป์ จะอิมตัวและตัดยอดคลืนถ้าสัญญาณอินพุทมีขนาดใหญ่เกินไปสําหรับตัว
ขยายในการสร้างซํา หรื อเกินขีดจํากัดการทํางานของอุปกรณ์
แอมป์ โดเฮอร์ ต[แก้
ี ]
โดเฮอร์ตี, คอนฟิ กูเรชันไฮบริ ดแบบหนึง, กําลังได้รับความสนใจใหม่ มันถูกคิดค้นใน
ปี โดยวิลเลียม เอช โดเฮอร์ตี ทีทํางานกับเบลล์แล็บทีมีบริ ษทั น้องสาวชือ เวสเทิร์นไฟฟ้า
ทีผลิตเครื องส่งสัญญาณวิทยุ แอมป์ โดเฮอร์ตีประกอบด้วยคลาส B ขันตอนต้นหรื อขันตอนตัว
ขนส่งหนึงตัวทํางานควบคู่ไปกับคลาส C หนึงตัวทีทํางานอยูใ่ นขันตอนสนับสนุนหรื อขันตอน
สูงสุด สัญญาณอินพุทจะแยกไปขับตัวขยายสองตัว และเครื อข่ายการรวมจะรวมสองสัญญาณ
เอาต์พตุ เครื อข่าย Phase shifting จะถูกใช้ในอินพุทและเอาต์พตุ ในระหว่างช่วงเวลาทีระดับ
สัญญาณตํา ตัวขยายคลาส B จะทํางานกับสัญญาณได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ และตัวขยายคลาส C
จะ cutoff และบริ โภคพลังงานน้อย ในช่วงระยะเวลาทีระดับสัญญาณสูง ตัวขยายคลาส B ส่ง
มอบกําลังสูงสุดของมันและตัวขยายคลาส C จะส่งมอบกําลังทีจุดสูงสุดของมัน ประสิ ทธิภาพ
ของ การออกแบบเครื องส่งสัญญาณ AM ก่อนหน้านีเป็ นสัดส่วนกับการมอดูเลท แต่ดว้ ย
ค่าเฉลียการมอดูเลทโดยทัวไปอยูท่ ีประมาณ % ตัวส่งสัญญาณถูกจํากัดให้มีประสิ ทธิภาพ
น้อยกว่า % ในการออกแบบของโดเฮอร์ตี แม้จะมีการมอดูเลทเป็ นศูนย์ ตัวส่งส่งสามารถ
บรรลุประสิทธิภาพ อย่างน้อย %[ ]
ในฐานะทีเป็ นผูส้ ื บทอดของไฟฟ้าฝังตะวันตกสําหรับตัวส่งสัญญาณออกอากาศ
แนวคิดโดเฮอร์ตี ได้รับการกลันอย่างมากโดยบริ ษทั ผลิตคอนติเนนตัลอิเล็กทรอนิคส์ของเมือง
ดัลลัสรัฐเท็กซัส บางทีการปรับแต่งอย่างสุดขัวเป็ นการปรับรู ปแบบการมอดูเลทแบบหน้าจอ-
กริ ดทีถูกประดิษฐ์คิดค้นโดย โจเซฟ บี Sainton ตัวขยาย Sainton ประกอบด้วยแอมป์ คลาส C
ขันตอนเริ มต้นหรื อขันตอนขนส่งหนึงตัวทํางานควบคู่ไปกับแอมป์ คลาส C ขันตอนเสริ มหรื อ
ขันสูงสุด ขันตอนจะถูกแยกและรวมผ่านเครื อข่าย phase shift องศา เหมือนในแอมป์ โด
เฮอร์ตี ตัวขนส่งคลืนความถีวิทยุทีไม่ถูกมอดูเลทถูกนํามาใช้เพือควบคุมกริ ดของทังสองหลอด
จุดไบอัสของหลอดตัวขนส่งกับหลอดพีคจะต่างกันและถูกสร้างเพือทีว่าหลอดพีคจะ cutoffเมือ
ไม่มีการมอดูเลท(และตัวขยายกําลังผลิตกําลังตัวขนส่งทีมีอตั ราไม่ถูกมอดูเลท) ในขณะที
หลอดทังสองมีส่วนช่วยจ่าย กําลังตัวขนส่งทีมีอตั ราถึงสองเท่าในระหว่างการมอดูเลท %
(เมือกําลังของตัวขนส่งต้องการถึงสี เท่าเพือบรรลุการมอดูเลท %) เมือทังสองหลอดทํางาน
ในคลาส C การปรับปรุ งทีสําคัญในประสิทธิภาพจึงประสบความสําเร็ จในขันตอนสุดท้าย
นอกจากนี เมือหลอดตัวขนส่งและหลอดพีค Tetrode ต้องใช้กาํ ลังขับน้อยมาก การปรับปรุ งที
สําคัญในประสิ ทธิภาพภายในขันตอนตัวขับจะประสบความสําเร็ จเช่นกัน ( C, อืนๆ)[ ] รุ่ น
ทีวางจําหน่าย ของตัวขยาย Sainton ใช้ตวั มอดูเลทแบบแคโทด-สาวก, ไม่ใช่ตวั มอดูเลทแบบ
push–pull การออกแบบของคอนติเนนตัลอิเล็กทรอนิคส์ก่อนหน้านี, เจมส์ โอ เวลดอนและ
อืนๆยังรักษา ส่วนใหญ่ของคุณลักษณะของตัวขยายโดเฮอร์ตีแต่เพิมการมอดูเลทหน้าจอ-กริ
ดของตัวไดรเวอร์ ( B, อืนๆ)
แอมป์ โดเฮอร์ตียังคงอยูใ่ นการใช้งานในเครื องส่งสัญญาณ AM กําลังสูงมาก แต่
สําหรับเครื องส่งสัญญาณ AM กําลังตํากว่า, แอมป์ หลอดสูญญากาศโดยทัวไปถูกบดบังในช่วง
ปี s โดยอาร์เรย์ของแอมป์ แบบโซลิตสเตท ซึงสามารถเปิ ดและปิ ดด้วยเมล็ดทีละเอียดกว่า
มาก ในการตอบสนองความต้องการของเสี ยงทีอินพุท อย่างไรก็ตามความน่าสนใจใน
คอนฟิ กูเรชันของโดเฮอร์ตีได้รับการฟื นฟูโดยโทรศัพท์มือถือและการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้
สาย ทีซึงผลรวมของหลาย ผูใ้ ช้จะสร้างผลลัพธ์รวมของ AM ความท้าทายหลักแอมป์ โดเฮอร์ตี
สําหรับโหมดทีส่งผ่านแบบดิจิตอลอยูใ่ นการจัดตําแหน่งสองขันตอน และการสังให้แอมป์
คลาส C สามารถเปิ ดและปิ ดอย่างรวดเร็ ว
เมือเร็ วๆนี แอมป์ โดเฮอร์ตีได้ถูกพบการใช้งานอย่างแพร่ หลายในเครื องส่งสัญญาณที
สถานีฐาน โทรศัพท์มือถือสําหรับความถีย่าน GHz การใช้งานสําหรับเครื องส่งสัญญาณใน
อุปกรณ์เคลือนทียังได้รับการสาธิตให้เห็นอีกด้วย

การนําไปปฏิบตั ิ[แก้]
แอมป์ ถูกนําไปปฏิบตั ิโดยใช้องค์ประกอบทีแอคทีฟต่างชนิดกันดังนี

 องค์ประกอบทีแอคทีฟตัวแรกคือรี เลย์ ยกตัวอย่างเช่นใช้ในสายโทรเลขข้ามทวีป :


กระแสอ่อนๆ ถูกใช้ในการสวิตช์แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี ไปยังสายทีออกไปด้าน
นอก
 สําหรับการส่งสัญญาณเสี ยง ไมโครโฟนคาร์บอนถูกนํามาใช้เป็ นองค์ประกอบทีแอค
ทีฟ มันถูกใช้เพือมอดูเลทแหล่งทีมาของในคลืนความถีวิทยุ ในหนึงของการส่ง
สัญญาณเสี ยง AM ครังแรก โดย เรจินลั ด์ เฟสเซนเดน เมือ ธันวาคม [ ]
 แอมป์ ทีใช้หลอดสูญญากาศอย่างเดียวจนกระทัง s วันนี หลอดถูกใช้สาํ หรับการ
ใช้งานเสี ยงโดยผูเ้ ชียวชาญ เช่นแอมป์ กีตา้ ร์และเครื องขยายเสี ยง เครื องส่งสัญญาณ
ออกอากาศจํานวนมากยังคงใช้หลอดสูญญากาศ
 ในปี s, ทรานซิสเตอร์เริ มเข้ามาแทนที วันนี, ทรานซิสเตอร์เดียวๆยังคงถูกใช้ใน
แอมป์ กําลังสูงและในอุปกรณ์เสี ยงของผูเ้ ชียวชาญ
 เริ มต้นในปี s ทรานซิสเตอร์มากขึนเรื อยๆถูกเชือมต่อบนชิปชินเดียวเพือสร้าง
วงจรรวม แอมป์ จํานวนมากทีใช้ในเชิงพาณิ ชย์วนั นีจะมีพนฐานมาจากวงจรรวม

สําหรับวัตถุประสงค์พิเศษ องค์ประกอบทีแอคทีฟอืนๆได้ถูกนํามาใช้ ตัวอย่างเช่นใน
ตอนต้นของการสื อสารผ่านดาวเทียมแอมป์ ตัวแปรถูกนํามาใช้ วงจรหลักเป็ นไดโอดหนึงตัวที
ความสามารถของมันจะถูกเปลียนแปลงโดยสัญญาณ RF ทีสร้างขึนในท้องถิน ภายใต้เงือนไข
บางอย่าง สัญญาณ RF นีได้ให้พลังงานทีถูกมอดูเลทโดยสัญญาณดาวเทียมทีอ่อนแออย่างมากที
รับได้ทีสถานีแผ่นดิน
วงจรแอมป์ [แก้]

วงจรแอมป์ ในทางปฏิบตั ิ
วงจรแอมป์ ในทางปฏิบตั ิทีแสดงทางขวาจะเป็ นพืนฐานสําหรับการขยายเสี ยงกําลังปาน
กลาง มันแสดงให้เห็นการออกแบบทัวไป(ทีง่ายมาก)ตามทีพบในเครื องขยายเสี ยงทีทันสมัย, ที
มีแอมป์ คลาส AB ขันตอนเอาต์พตุ แบบ push–pull และใช้ negative feedback โดยรวมบางอย่าง
ทรานซิสเตอร์แบบไบโพลาร์ถูกแสดงในภาพ แต่การออกแบบนีจะสามารถใช้ FETs หรื อ
วาล์วก็ได้
สัญญาณอินพุทถูกเชือมต่อผ่านตัวเก็บประจุ C เข้าทีเบสของทรานซิสเตอร์ Q ตัวเก็บ
ประจุจะยอมให้สญ ั ญาณ AC ผ่านได้ แต่บล็อกแรงดันไฟฟ้าไบอัส DC ทีถูกสร้างขึนโดยตัว
ต้านทาน R และ R เพือทีวงจรใดๆก่อนหน้านีจะไม่ได้รับผลกระทบจากมัน Q และ Q เป็ น
แอมป์ แบบ differential (แอมป์ ทีจะคูณส่วนต่างระหว่างสองอินพุทด้วยค่าคงทีบางอย่าง) ใน
การจัดเตรี ยมทีเรี ยกว่าเป็ น คูห่ างยาว(อังกฤษ: long-tailed pair) การจัดเตรี ยมแบบนีถูกใช้ใน
การอํานวยความสะดวกในการใช้ negative feedback ซึงถูกป้ อนจากเอาต์พตุ Q ผ่าน R และ
R8
negative feedback ในแอมป์ แบบ differential จะช่วยให้แอมป์ เปรี ยบเทียบอินพุทกับ
เอาต์พตุ ทีเกิดขึนจริ ง สัญญาณทีถูกขยายจาก Q ถูกป้ อนโดยตรงไปยังขันตอนทีสอง, Q ซึง
เป็ นขันตอนอีมิตเตอร์ร่วมทีมีการขยายสัญญาณและไบอัส DC ต่อไปเพือส่งให้ขนตอนเอาต์ ั พตุ
Q และ Q5. R เป็ นโหลดสําหรับ Q (การออกแบบทีดีกว่าอาจจะใช้บางรู ปแบบของโหลดที
แอคทีฟทีนี เช่น constant-current sink) เมือมาถึงเวลานี แอมป์ ทังหมดกําลังทํางานในคลาส A.
คู่เอาต์พตุ จะถูกจัดเตรี ยมในคลาส AB push–pull หรื อทีเรี ยกว่าคู่แถม ทีทาํ งานส่วนใหญ่เป็ น
การขยายกระแส(ขณะทีบริ โภคกระแสนิงตํา) และขับโหลดโดยตรงและเชือมต่อผ่านทาง C ที
ปิ ดกันไฟ DC ไดโอด D และ D จ่ายแรงดันไบอัสคงทีจํานวนเล็กน้อยให้กบั คู่เอาต์พตุ เพียง
เพือไบอัสวงจรให้เข้าทีสถาวะนํากระแส เพือทีว่า การบิดเบือนครอสโอเวอร์จะถูกทําให้นอ้ ย
ทีสุด นันคือ ไดโอดผลักดันขันตอนเอาต์พตุ อย่างมันคงให้เข้าสู่โหมดคลาส AB (สมมติวา่
แรงดันคร่ อมเบส-อีมิตเตอร์ของตัวทรานซิสเตอร์เอาต์พตุ จะถูกลดลงโดยการกระจายความ
ร้อน)
การออกแบบนีจะง่าย แต่เป็ นพืนฐานทีดีสาํ หรับการออกแบบในทางปฏิบตั ิ เพราะว่า
มันจะรักษา จุดปฏิบตั ิการให้แน่นอน เนืองจากฟี ดแบคดําเนินการภายในจาก DC ขึนผ่าน
ช่วงเสี ยงและไกลออกไป องค์ประกอบวงจรนอกจากนีอาจจะพบได้ในการออกแบบทีแท้จริ งที
จะตัดการตอบสนองความถีทีสูงกว่าช่วงทีจําเป็ นเพือป้ องกันไม่ให้เกิดความเป็ นไปได้ของการ
oscillate ทีไม่พึงประสงค์ นอกจากนี การใช้งานของไดโอดไบอัสคงทีแสดงไว้อาจทําให้เกิด
ปั ญหาถ้าไดโอดไม่ match ทังทางไฟฟ้าและทางความร้อนกับทรานซิสเตอร์เอาต์พตุ - ถ้า
ทรานซิสเตอร์เอาต์พตุ นํากระแสมากเกินไป พวกเขาอาจร้อนเกินไปและทําลายตัวเองได้ง่าย
มาก เพราะกระแสจากแหล่งจ่ายไฟจะไหลเต็มที ไม่ได้ถูกจํากัดในขันตอนนี
การแก้ปัญหาง่ายๆเพือช่วยสร้างความมันคงของอุปกรณ์เอาต์พตุ ก็คือ การเพิมตัว
ต้านทานทีอีมิตเตอร์สกั หนึงโอห์มหรื อมากว่า ในการคํานวณค่าของตัวต้านทานและตัวเก็บ
ประจุของวงจรจะสามารถทําได้ ขึนอยูก่ บั องค์ประกอบใช้งานและการตังใจใช้งานของแอมป์
สําหรับพืนฐานของตัวขยายความถีวิทยุโดยการใช้วาล์ว, ดู Valved RF amplifiers.
หมายเหตุเกียวกับการนําไปใช้ งาน[แก้]
แอมป์ ในโลกแห่งความจริ งไม่สมบูรณ์แบบ ดังนี

 ผลทีตามมาอย่างหนึงก็คือการทีแหล่งจ่ายไฟของมันเองอาจมีอิทธิพลต่อเอาต์พตุ และ
จะต้องนํามาพิจารณาเมือมีการออกแบบตัวขยาย
 เพาเวอร์แอมป์ เป็ นสัญญาณอินพุททีมีประสิ ทธิภาพทีใช้ควบคุมตัวเรกูเลเตอร์ของ
แหล่งจ่ายไฟ - ทําการควบคุมกําลังทีมาจากแหล่งจ่ายไฟหรื อไฟเมนส์ไปทีโหลดของ
แอมป์ กําลังทีออกจากเพาเวอร์แอมป์ ไม่ควรเกินกําลังทีใส่เข้าไปให้กบั มัน
 วงจรแอมป์ มีผลการดําเนินงานแบบ"open loop" สามารถอธิบายได้ดว้ ยพารามิเตอร์
ต่างๆ (กําไร, slew rate, เอาต์พตุ อิมพีแดนซ์, การบิดเบือน, แบนด์วดิ ธ์, อัตราส่วนของ
สัญญาณกับเสี ยงรบกวน ฯลฯ)
 แอมป์ ทีทันสมัยจํานวนมากใช้เทคนิค negative feedback เพือรักษาค่าเกนไว้ทีค่าที
ต้องการและเพือลดการบิดเบือน การฟี ดแบคในลูปเชิงลบจะมีผลตามวัตถุประสงค์ใน
การบรรเทาทางไฟฟ้าของการเคลือนไหวของลําโพง ซึงในทางกลับกัน มันเป็ นการ
บรรเทาประสิ ทธิภาพการทํางานแบบกลไกไดนามิกของลําโพง
 เมือประเมินความจุของกําลังเอาต์พตุ ของแอมป์ มันจะเป็ นประโยชน์ทีจะพิจารณา .
โหลดทีจะใช้ . รู ปแบบของสัญญาณเช่น เสี ยงพูดหรื อเพลง . ระยะเวลาของกําลัง
เอาต์พตุ ทีต้องการ เช่น เวลาสันหรื อต่อเนือง และ . ช่วงไดนามิกทีต้องการ เช่น
โปรแกรมทีบันทึกไว้หรื อถ่ายทอดสด
 ในกรณี ทีมีการใช้งานเสี ยงกําลังขับเคลือนสูงทีต้องมีสายยาวต่อไปยังโหลด- เช่น โรง
ภาพยนตร์และศูนย์การขนส่ง - แทนทีจะใช้สายขนาดใหญ่ มันอาจจะมีประสิ ทธิภาพ
มากขึนถ้าเชือมต่อกับโหลดทีแรงดันเอาต์พตุ ของ line ด้วยหม้อแปลง matching ที
แหล่งจ่ายกับโหลด
 เพือป้ องกันความไม่แน่นอน และ/หรื อความร้อนสูงเกินไป การดูแลมีความจําเป็ น
เพือให้แน่ใจว่าแอมป์ แบบโซลิทสเตทมีโหลดทีเหมาะสม ส่วนใหญ่มีความจุของโหลด
อิมพีแดนว์ตามาก

 แอมป์ ทุกตัวผลิตความร้อนอันเนืองมาจากการสูญเสี ยทางไฟฟ้า ความร้อนนีจะต้องถูก
ระบายผ่านการให้ความเย็นด้วยลมตามธรรมชาติหรื อลมทีถูกบังคับ ความร้อนสามารถ
สร้างความเสี ยหายหรื อลดอายุการใช้งานของชินส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ควรพิจารณา
ผลกระทบของความร้อนทีมีต่อแอมป์ หรื ออุปกรณ์ทีอยูใ่ กล้เคียง
วิธีการทีแตกต่างกันในการจ่ายกําลังมีผลมาจากวิธีการให้ไบอัสทีแตกต่างกัน ไบอัส
เป็ นเทคนิคอย่างหนึงทีอุปกรณ์แอคทีฟจะถูกตังค่าให้ทาํ งานในพืนทีเฉพาะ หรื อเป็ นเทคนิคที
ชินส่วน DC ของสัญญาณเอาต์พตุ จะถูกกําหนดเป็ นจุดกึงกลางระหว่างแรงดันไฟฟ้าสูงสุดจาก
แหล่งจ่ายไฟ ทังหลายของแอมป์ ส่วนใหญ่จะใช้อุปกรณ์หลายชินในแต่ละขันตอน ทัวไปพวก
มันจะถูกจับคู่ในสเปคทีเท่ากัน ยกเว้นขัว อุปกรณ์ขวตรงข้
ั ามที match กันจะเรี ยกว่าเป็ นคู่
สมบูรณ์ แอมป์ คลาส A ทัวไปใช้เพียงอุปกรณ์เดียว เว้นแต่แหล่งจ่ายไฟจะถูกตังไว้ให้จ่ายทัง
แรงดันบวกและลบ ซึงในกรณี ดงั กล่าว อาจต้องใช้อุปกรณ์คู่ทีออกแบบให้สมมาตร แอมป์
คลาส C โดยนิยามใช้แหล่งจ่าย กระแสไฟฟ้าขัวเดียว
แอมป์ มักจะมีหลายขันตอนต่อเนืองเพือเพิมเกน แต่ละขันตอนของการออกแบบเหล่านี
อาจเป็ นแอมป์ ประเภททีแตกต่างกัน เพือให้เหมาะกับความต้องการของขันตอนนัน
ตัวอย่างเช่น ในขันตอนแรกอาจจะเป็ นคลาส A จ่ายให้คลาส AB push pull ในขันตอนทีสอง
จากนันก็ไดรฟ์ คลาส G ทีเป็ นขันตอนสุดท้าย เป็ นการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละ
ประเภทในขณะทีลดจุดอ่อนลงให้นอ้ ยทีสุด

ดูเพิม[แก้]

 Charge transfer amplifier


 Distributed amplifier
 Faithful amplification
 Guitar amplifier
 Instrument amplifier
 Instrumentation amplifier
 Low noise amplifier
 Negative feedback amplifier
 Operational amplifier
 Optical amplifier
 Power added efficiency
 Programmable gain amplifier
 RF power amplifier
 Valve audio amplifier

อ้างอิง[แก้]

1. กระโดดขึน↑ Patronis, Gene (1987). "Amplifiers". In Glen Ballou. Handbook for


Sound Engineers: The New Audio Cyclopedia. Howard W. Sams & Co. p. 493. ISBN
0-672-21983-2.
2. กระโดดขึน↑ Robert Boylestad and Louis Nashelsky (1996). Electronic Devices and
Circuit Theory, 7th Edition. Prentice Hall College Division. ISBN 978-0-13-375734-
7.
3. กระโดดขึน↑ Patronis, Gene (1987). "Amplifiers". In Glen Ballou. Handbook for
Sound Engineers: The New Audio Cyclopedia. Howard W. Sams & Co. p. 493. ISBN
0-672-21983-2.
4. กระโดดขึน↑ *Mark Cherry, Maxim Engineering journal, volume 62, Amplifier
Considerations in Ceramic Speaker Applications, p.3, accessed 2012-10-01
5. กระโดดขึน↑ Robert S. Symons (1998). "Tubes: Still vital after all these years".
IEEE Spectrum 35 (4): 52–63. doi:10.1109/6.666962.
6. กระโดดขึน↑ It is a curiosity to note that this table is a "Zwicky box"; in particular, it
encompasses all possibilities. See Fritz Zwicky.
7. กระโดดขึน↑ John Everett (1992). Vsats: Very Small Aperture Terminals. IET. ISBN
0-86341-200-9.
8. กระโดดขึน↑ RCA Receiving Tube Manual, RC-14 (1940) p 12
9. กระโดดขึน↑ ARRL Handbook, 1968; page 65
10. กระโดดขึน↑ Jerry Del Colliano (20 February 2012), Pass Labs XA30.5 Class-A
Stereo Amp Reviewed, Home Theater Review, Luxury Publishing Group Inc.
11. กระโดดขึน↑ Ask the Doctors: Tube vs. Solid-State Harmonics
12. กระโดดขึน↑ Volume cranked up in amp debate
13. กระโดดขึน↑ N. O. Sokal and A. D. Sokal, "Class E – A New Class of High-
Efficiency Tuned Single-Ended Switching Power Amplifiers", IEEE Journal of Solid-
State Circuits, vol. SC-10, pp. 168–176, June 1975. HVK
14. กระโดดขึน↑ US patent 2210028, William H. Doherty, "Amplifier", issued 1940-08-
06, assigned to Bell Telephone Laboratories
15. กระโดดขึน↑ US patent 3314034, Joseph B. Sainton, "High Efficiency Amplifier and
Push–Pull Modulator", issued 1967-04-11, assigned to Continental Electronics
Manufacturing Company
16. กระโดดขึน↑ Lee, Thomas (2004). The Design of CMOS Radio-Frequency
Integrated Circuits. New York, NY: Cambridge University Press. p. 8. ISBN 978-0-
521-83539-8.

You might also like