Professional Documents
Culture Documents
เพราะถ้าเป็ นคนทีท
่ างานด้านนี้มาอ่านเข้าก็อาจจะคิดในใจว่า “เรือ
่ งนี้ใคร ๆ
เขาก็รก
ู้ น
ั ทัง้ นัน
้ แหละ” ผมก็เลยต้องบอกกล่าวเอาไว้ลว่ งหน้าก่อนนะครับ
แต่..เรือ
่ งนี้จะเหมาะสาหรับคนทีไ่ ม่เคยทางานด้านนี้หรือยังไม่เคยรูเ้ รือ
่ งเกีย่ วกับโครงสร้างเงินเดือ
นมาก่อน ซึง่ ผมจะพยายามเขียนแบบให้เข้าใจง่าย ๆ
ให้มอ
ื ใหม่ได้เข้าใจในเบสิคของโครงสร้างเงินเดือนเพือ ่ ให้มพ ้ ต่อไป
ี ื้นฐานทีจ่ ะเรียนรูใ้ นระดับทีส่ งู ขึน
เริม
่ อย่างนี้เลยครับ
2. เมือ่ จะเริม
่ ทาโครงสร้างเงินเดือนจะต้องมีขอ
้ มูลการสารวจค่าตอบแทนของตลาดมาร่วมกับการออกแบบโค
รงสร้างเงินเดือน จะทาโครงสร้างเงินเดือนโดยไม่มข ี อ
้ มูลค่าตอบแทนของตลาดไม่ได้!
5. วิธีการออกแบบโครงสร้างเงินเดือนให้ไปอ่านในหนังสือ
“การประเมินค่างานและการทาโครงสร้างเงินเดือน (ภาคปฏิบตั )ิ ”
บทที่ 6 และบทที่ 7 ซึง่ ผมอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้วเช่นเดียวกัน
่
ความรู ้เกียวก ับโครงสร ้างเงินเดือนแบบง่ าย ๆ (ตอนที่ 2)
ในตอนที่ 1 ผมพูดถึงหลักการในการการออกแบบโครงสร้างเงินเดือนไว้แบบง่าย ๆ
ว่าก่อนการทาโครงสร้างเงินเดือนควรจะต้องมีการประเมินค่างานให้เรียบร้อยเสียก่อน
เมือ่ ประเมินค่างานเสร็จแล้วเราก็จะนาเอาตาแหน่ งงานทีอ่ ยูใ่ นแต่ละ Job
Grade ไปดูเทียบกับตลาดว่าเขาจ่ายกันอยูเ่ ท่าไหร่เพือ
่ มาวิเคราะห์ดวู า่ เราควรจะออกแบบโครงสร้างเงินเดื
อนของเราให้มค ี า่ กลางอยูใ่ กล้เคียงกับทีต
่ ลาดเขาจ่ายกัน
(ถ้าบริษท
ั มีนโยบายทาโครงสร้างเงินเดือนให้อยูใ่ กล้เคียงกับตลาดนะครับ) หวังว่าคงยังไม่ลืมนะครับ
ถ้าลืมก็ตอ
้ งกลับไปอ่านตอนที่ 1 ใหม่อก
ี ครัง้ เพือ
่ ทบทวนอีกรอบแล้วล่ะครับ
มาในตอนนี้ผมก็จะขอพูดถึงลักษณะของโครงสร้างเงินเดือนในรายละเอียดต่ออย่างนี้
ลักษณะของโครงสร้างเงินเดือน
แกนนอนคือกลุม่ ของตาแหน่ งงานหรือ Job Grade (หรือจะเรียกว่า Job Group ก็ได้) ซึง่ Job
Grade เกิดจากการทีบ
่ ริษท
ั ทาการประเมินค่างานทุกตาแหน่ งเสร็จสิน
้ แล้วก็ จะนาตาแหน่ งต่าง ๆ
มาเรียงลาดับความสาคัญตามคะแนนทีไ่ ด้รบั จากการประเมินค่างาน
แล้วจึงนาค่าเฉลีย่ ทีต
่ ลาดจ่ายเงินเดือนสาหรับตาแหน่ งใน Job Grade นัน
้ ๆ
มาเป็ นแนวทางในกาคิดวิเคราะห์เพือ ่ ออกแบบโครงสร้างเงินเดือนใน Job Grade นัน
้ ต่อไป
โปรดอดใจรอในตอนต่อไป....
่
ความรู ้เกียวก ับโครงสร ้างเงินเดือนแบบง่ าย ๆ (ตอนที่ 3)
ในตอนที่ 3 นี้
ผมก็จะมาเล่าให้ฟงั กันต่อในเรือ
่ งของกายวิภาคของกระบอกเงินเดือนว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง
มีสต
ู รในการคานวณยังไง
ซึง่ ศัพท์และสูตรในการคานวณรวมถึงความหมายของส่วนต่าง ๆ
ในกระบอกเงินเดือนจะเป็ นพื้นฐานทีส่ าคัญในการทางานเกีย่ วกับโครงสร้างเงินเดือนต่อไปตัง้ แต่มอ
ื ใหม่ย ั
นมืออาชีพเลยนะครับ
ดังนัน
้ ผูส
้ นใจจึงควรจะต้องศึกษาทาความเข้าใจในเรือ
่ งเหล่านี้ให้คล่องแคล่วเพือ
่ นาไปใช้ประกอบ
การวิเคราะห์ในด้านต่าง ๆ ของโครงสร้างเงินเดือนต่อไป
กายวิภาคของกระบอกเงินเดือน
เมือ่ อธิบายทีม
่ าของโครงสร้างเงินเดือนไปแล้วเราก็มาว่ากันต่อในเรือ
่ งของกระบอกเงินเดือนแต่ละ
กระบอกและหลักการต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับกระบอกเงินเดือนดังนี้ครับ
ไม่วา่ ผูด
้ ารงตาแหน่ งใดใน Job Grade นี้ (หรือในกระบอกเงินเดือนนี้)
จะได้รบั เงินเดือน12,000 บาท หรือ 24,000 บาท
ก็จะต้องรับผิดชอบงานในค่างานเดียวกันเพราะอยูใ่ น Job Gradeเดียวกัน!
ไม่ใช่วา่ ผูส
้ มัครขอน้อยก็ให้น้อยนะครับ!
เพราะถ้าทาอย่างงัน
้ เราจะมี Min ไปเพือ
่ ....?
แล้วค่อยมาต่อกันในตอนที่ 4 นะครับ
่
ความรู ้เกียวก ับโครงสร ้างเงินเดือนแบบง่ าย ๆ (ตอนที่ 4)
สาหรับในตอนที่ 4 นี้เรามาพูดกันในเรือ่ งของค่ากลางหรือ Midpoint กันต่อเลยดังนี้ครับ
Midpoint-MP ค่ากลาง
ค่ากลางคืออะไร?
ค่ากลางก็คอ ่ งึ่ กลางกระบอกเงินเดือนน่ ะสิครับ ตอบซะแบบกาปั้นทุบดินกันไปเลย;-)
ื ค่าทีอ่ ยูก
สูตรการหาค่ากลางง่าย ๆ ก็คอ ื Max+Min หาร 2
สาหรับบริษท ั (ส่วนใหญ่ทผ
ี่ มเจอมา)
ฝ่ ายบริหารก็มกั จะมีนโยบายในการทาโครงสร้างเงินเดือนให้มีคา่ กลางของแต่ละกระบอกเงินเดือนอยูป
่ ระม
าณค่าเฉลีย่ ทีต
่ ลาดเขาจ่ายกัน
ี อย่างหนึ่งว่า....
จึงพูดได้อก
ค่ากลาง
(Midpoint) เป็ นค่าทีย่ ต
ุ ธิ รรมหรือเป็ นค่าทีเ่ สมอภาคและเป็ นธรรมในการจ้างคนเข้ามาทางานใน Job
Grade นี้ เพราะตลาดเขาก็จา่ ยกันอยูป ่ ระมาณนี้แหละ
ถ้าดูจากตัวอย่างข้างต้นก็คอ ื ใครก็ตามทีท
่ างานอยูใ่ นตาแหน่ งใดใน Job
Grade นี้แล้วได้รบั เงินเดือนอยูท่ ี่ 18,000 บาท ก็หมายถึงคน ๆ
นัน้ ทางานให้กบั บริษทั อย่างเต็มทีส่ มราคา ในขณะทีบ ่ ริษท
ั ก็จา่ ยเงินเดือนให้กบั คน ๆ
นี้อย่างยุตธิ รรมแล้วเช่นเดียวกัน เพราะตลาดภายนอกโดยทั่ว ๆ ไปเขาก็จา่ ยกันอยูป ่ ระมาณ 18,000 บาท
เรียกว่าการจ่ายเงินเดือนทีค
่ า่ กลางนัน
้
ไม่มใี ครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง!!
เป็ นราคาทีเ่ ป็ นธรรมทัง้ สองฝ่ าย หรือทางเศรษฐศาสตร์อาจจะเรียกว่าเป็ น “ราคาดุลยภาพ” หรือ
“Equilibrium Price” ก็ได้ครับ
เช่นสมมุตต ิ อนนี้มพ
ี นักงานทีอ่ ยูใ่ นกระบอกเงินเดือนนี้รบั เงินเดือนอยูท
่ ี่ 12,000 บาท
ก็หมายถึงว่าพนักงานคนนี้อาจจะยังมีความรู ้
ทักษะหรือมีประสบการณ์ ในงานทีท ่ ายังไม่เท่ากับคนทีไ่ ด้เงินเดือน 18,000 บาท
บริษท ั ก็เลยเห็นสมควรทีจ่ ะให้เงินเดือนที่ 12,000 บาท (เท่ากับ Min ใน Job Grade นี้)
ซึง่ เมือ่ พนักงานคนนี้พฒ ั นาตัวเองให้มค ี วามรูค ้ วามสามารถในการทางานเพิม ่ มากขึน ้
มีผลงานทีด ่ ข ึ้ มากขึน
ี น ้ ก็จะได้รบั การปรับขึน ้ เงินเดือนต่อไปได้เรือ
่ ย ๆ จนไปสูงสุดไม่เกิน 24,000 บาท
ดังนัน
้
ถ้ามองในมุมนี้ก็จะดูเหมือนว่าบริษท
ั จะได้เปรียบพนักงานคนนี้อยูเ่ พราะใช้งานเขาเต็มทีเ่ หมือนกับจ้าง 24,
000 บาท แต่จา่ ยเพียง 12,000 บาท
ซึง่ ก็จะมีศพ
ั ท์เทคนิคเรียกการจ่ายแบบนี้วา่ บริษท
ั จ่ายเงินเดือนให้พนักงานคนนี้ “ต่ากว่า”
ทีต
่ ลาดเขาจ่ายกัน หรือ “Under Paid” ครับ
ถ้าบริษท ั ไหนไปจ้างใครทีท
่ างานใน Job
Grade นี้ต่ากว่า Min ก็แสดงว่าบริษทั นัน
้ ไปเอาเปรียบเขามากจนเกินงามแล้วล่ะครับ
ในทางกลับกัน ถ้าบริษท
ั จ้างพนักงานตาแหน่ งใดก็ตามใน Job Grade นี้สงู กว่าค่ากลาง เช่น
จ้างอยูท
่ ี่ 23,500 บาท ก็หมายถึงบริษท ั จ่ายเงินเดือนให้แพงกว่าทีต ่ ลาดเขาจ่ายกัน
ในขณะทีพ ่ นักงานคนนี้ทางานให้กบั บริษทั ไม่คม
ุ้ กับทีบ
่ ริษท
ั จ่ายให้เขา
การจ่ายแพงกว่าทีต
่ ลาดเขาจ่ายกันนี่ก็เรียกเป็ นศัพท์เทคนิคว่า “Over
Paid” หรือจ่ายแพงเกินไปครับ!
ถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็คอ ื พนักงานทีบ่ ริษท
ั จ่ายแบบ Over Paid ทางานใน Job
Gradeนี้มานาน ทางานเหมือนเดิม ความรับผิดชอบเท่าเดิม
แต่ไม่สามารถจะเลือ ึ้ ไปอยูใ่ นJob Grade ทีส่ งู ขึน
่ นตาแหน่ งให้ขน ้ ต่อไปอีกได้
บริษทั ก็จาเป็ นทีจ่ ะต้องควบคุมเพดานเงินเดือนเอาไว้ไม่ให้สงู มากเกินไปในกรณี นี้คอื เงินเดือนที่ Max เท่า
กับ 24,000 บาท
ในตอนนี้คงพูดได้เรือ
่ งเดียวคือเรือ
่ งของค่ากลางเพราะมีรายละเอียดพอสมควร
ส่วนในตอนที5
่ เราค่อยมาว่ากันต่อนะครับ
่
ความรู ้เกียวก ับโครงสร ้างเงินเดือนแบบง่ าย ๆ (ตอนที่ 5)
ในตอนทีแ ่ ล้วเราพูดกันในเรือ
่ งของค่ากลางไปแล้ว
ในตอนที่ 5 นี้เรามาพูดกันต่อในเรือ ่ งหนึ่งในกระบอกเงินเดือนคือเรือ
่ งสาคัญอีกเรือ ่ งของความห่างระหว่าง
Min ถึง Max หรือทีเ่ รียกกันว่า “Range Spread” ดังนี้ครับ
ข้อด้อยอีกประการหนึ่งของบริษท ั ทีม
่ น
ี โยบายแบบนี้ก็คอ
ื เนื่องจาก Range
Spread มีเปอร์เซ็นต์สงู ดังนัน ้ กว่าพนักงานจะเงินเดือนตันก็จะนานหลายสิบปี ทาให้บริษท
ั มีตน
้ ทุน Staff
Costเพิม ้ ไปเรือ
่ ขึน ่ ย ๆ ทัง้ ๆ ทีพ
่ นักงานก็ทางานแบบเดิม ๆ
โครงสร้างเงินเดือนแบบนี้มี Max ก็เหมือนไม่มแ ี หละครับ
บริษท
ั ทีม
่ น
ี โยบายให้มี Job Grade น้อย ๆ
แบบนี้บางตาราอาจจะเรียกว่าเป็ นการทาโครงสร้างเงินเดือนแบบ “Broadband” ก็ได้ครับ
ซึง่ ความเห็นส่วนตัวของของผมไม่คอ่ ยชอบแนวคิดแบบ Broadband เท่าไหร่นกั เพราะไม่เหมา
ะกับค่านิยมทางบ้านเราและซีกเอเชีย
เนื่องจากแนวคิดนี้ถูกคิดและนาเสนอมาจากฝั่งอเมริกาซึง่ อาจจะเหมาะกับค่านิยมทางบ้านเขาทีไ่ ม่ยด
ึ ติดตา
แหน่ ง, นามบัตรเหมือนทางเอเชียครับ
ถ้าจะถามว่างัน
้ บริษท
ั ควรจะมีกี่ Job Grade ดี?
่
ความรู ้เกียวก ับโครงสร ้างเงินเดือนแบบง่ าย ๆ (ตอนที่ 6)
ในตอนทีแ
่ ล้วเราทาความเข้าใจในเรือ
่ งของค่าความห่างระหว่าง Min ถึง Max ทีเ่ รียกว่าRange
Spread และความหมายของ Range Spread ไปแล้ว
ในตอนที่ 6 นี้เราก็มาพูดกันต่อในเรือ
่ งของ Midpoint Progress ดังนี้ครับ
เพือ ้ ผมขอนาเอารูปโครงสร้างเงินเดือนกลับมาให้ดูอก
่ ให้ทา่ นเข้าใจง่ายยิง่ ขึน ี ครัง้ ดังนี้ครับ
จากรูปข้างต้นท่านจะเห็นเส้นทีล่ ากเชือ
่ มตรงค่ากลาง
(Midpoint) ระหว่างกระบอกเงินเดือนแต่ละกระบอก เช่น กระบอกเงินเดือนใน Job Grade1 ไป
กระบอกเงินเดือนเงินเดือนใน Job
Grade2 มีคา่ เท่ากับ 35% หรือเส้นทีล่ ากเชือ
่ มระหว่าง Midpoint กระบอกที2
่ ไปกระบอกที3
่ เท่ากับ30
% เป็ นต้น
้ ไปเรือ
ถ้าค่า MPP มีมากเช่นมีคา่ 45, 50, 55, 60 เปอร์เซ็นต์มากขึน ่ ยๆ
ก็แปลว่าบริษทั จะมีตน
้ ทุนในการปรับเงินเดือนเมือ่ Promote พนักงานเพิม ้ ไปด้วย
่ มากขึน
ในขณะทีพ ่ นักงานทีไ่ ด้รบั การPromote ก็จะชอบนะครับ
โธ่..เงินนี่ครับใครไม่อยากได้ละ่ ยิง่ ปรับเพิม
่ ให้เยอะยิง่ ดี (ในมุมคิดของพนักงาน) ใช่ไหมครับ
ดังนัน
้ ถ้าค่า MPP มีมากก็จะจูงใจให้พนักงานอยาก Promote มาก
ผ่านไปแล้วสาหรับเรือ
่ งของ Midpoint Progress แล้วนะครับ
ในตอนต่อไปผมจะนาท่านไปทาความเข้าใจถึงค่าอีกตัวหนึ่งทีส่ าคัญมากคือค่าทีบ
่ อกว่าในการทาโครงสร้าง
เงินเดือนแต่ละกระบอกจะสามารถแข่งขันกับตลาดได้มากน้อยแค่ไหน
และกระบอกเงินเดือนนัน้ จะใช้ได้ดหี รือไม่
อดใจรอตอนต่อไปนะครับ
่
ความรู ้เกียวก ับโครงสร ้างเงินเดือนแบบง่ าย ๆ (ตอนที่ 7-ตอนจบ)
ในตอนนี้ผมจะมาอธิบายให้ทา่ นได้เข้าใจค่าตัวหนึ่งทีส่ าคัญมากคือค่าทีจ่ ะบอกว่าโครงสร้างเงินเดื
อนในแต่ละกระบอกทีเ่ ราออกแบบนัน ้ จะสามารถแข่งขันกับตลาดได้หรือไม่
กระบอกเงินเดือนนัน
้ จะเวิร์คหรือไม่
อ่านตามมาเลยครับ....
Compa Ratio-CR
ค่าทีใ่ ช้ดูวา่ โครงสร้างเงินเดือนในกระบอกนัน
้ ๆ สามารถแข่งขันกับตลาดได้มาก-น้อยแค่ไหน
อย่างทีผ ่ มให้หลักการออกแบบโครงสร้างเงินเดือนไว้ขา้ งต้นแล้วว่าเมือ่ ประเมินค่างานเสร็จแล้ว
เราก็จะนาตาแหน่ งงานในแต่ละ Job
Grade ไปเทียบดูกบั ข้อมูลผลการสารวจค่าจ้างเงินเดือนในตลาดว่าตลาดเขาให้เงินเดือน (ทีเ่ ป็ น Base
Salary) ในตาแหน่ งต่าง ๆ ใน Job
Grade นัน ้ อยูเ่ ท่าไหร่แล้วเราก็นาค่าทีไ่ ด้ในแต่ละตาแหน่ งมาหาค่าเฉลีย่ ว่าใน Job Grade นัน ้
(ไม่วา่ จะเป็ นตาแหน่ งใด) ตลาดจะจ่ายเฉลีย่ อยูเ่ ท่าไหร่
แล้วเราก็ควรจะออกแบบโครงสร้างเงินเดือนใน Job Grade นัน ้ ให้มค
ี า่ ใกล้เคียงกันทีต
่ ลาดเขาจ่ายกัน
ใกล้เคียงยังไง..เท่าไหร่ถงึ จะดีละ่ ?
อาจจะมีคาถามอย่างนี้ใช่ไหมครับ
คาตอบก็คอื เครือ
่ งมือทีจ่ ะบอกว่าในโครงสร้างเงินเดือนแต่ละกระบอก (หรือแต่ละ Job
Grade) ควรจะมีคา่ Midpoint เท่าไหร่ถงึ จะแข่งขันกับตลาดได้หรือใกล้เคียงกับตลาดทีเ่ ขาจ่ายกันก็คอ
ื ...
.
สูตรในการหา CR ก็คอ
ื
CR = ค่าเฉลีย่ เงินเดือนมูลฐานทีต
่ ลาดจ่าย (จากการทา Job Matching) หาร Midpoint
ของกระบอกเงินเดือนนัน
้ คูณ 100
ผมยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น
เราก็ตอ
้ งมาหาดูวา่ ถ้าเราจะตกลงออกแบบโครงสร้างเงินเดือนใน Job
Grade1 โดยให้มM ี P=18,000 บาท (ซึง่ ต่ากว่าค่าเฉลีย่ ทีต
่ ลาดจ่ายอยู)่
เหมาะไหมเราก็มาหาค่า CR ได้ดงั นี้
CR = (23,000/18,000)x100 = 128%
้ ไปก็แสดงว่าถ้าเรายอมรับโครงสร้างเงินเดื
จะเห็นได้วา่ ค่า CR=128% จะสูงเกินกว่า 120% ขึน
อนของกระบอก1 ให้มี MP=18,000 บาท ก็แปลว่าเราจะจ่ายต่ากว่าค่าเฉลีย่ ทีต
่ ลาดเขาจ่ายกันใน Job
Grade นี้ (เพราะตลาดเขาจ่ายกันอยูท
่ ป
ี่ ระมาณ 23,000 บาท) เราจะหาคนมาทางานในตาแหน่ งต่าง ๆ
ใน Job Grade นี้ได้ยาก และในขณะเดียวกันเราก็จะรักษาคนทีท ่ างานใน Job
Grade นี้ไว้ได้ยากเช่นเดียวกัน
เพราะคนก็จะมีแนวโน้มทีจ่ ะลาออกไปหางานในทีใ่ หม่ทไี่ ด้เงินเดือนใกล้เคียงกับทีต
่ ลาดเขาจ่ายกัน
หรืออีกสักตัวอย่างหนึ่งก็ได้ครับ
สมมุตวิ า่ เราจะออกแบบโครงสร้างเงินเดือนในกระบอกที1
่ ให้มี MP=30,000 บาทล่ะผลจะเป็ นยัง
ไง?
เราก็ลองมาหาค่า CR ดูสค
ิ รับ
CR = (23,000/30,000)x100 = 77%
30,000
ค่า CR=77% ซึง่ ต่ากว่า 80% ก็แปลว่าเรากาลังออกแบบโครงสร้างเงินเดือนในกระบอกนี้ให้มี
MP สูงกว่าทีต
่ ลาดเขาจ่ายกัน
แต่ในความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว
ผมเห็นว่าในการออกแบบโครงสร้างเงินเดือนนัน ้ บริษท ั ควรออกแบบให้มี MP สูงกว่าค่าเฉลีย่ ทีต
่ ลาดเขาจ่า
ยกันประมาณ 10-15% แม้วา่ อาจจะมีตน ้ ทุนในการจ้างคนเพิม ้ มาบ้าง
่ ขึน
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าบริษท
ั จะมีตน
้ ทุนการจ้างคนเพิม ้ มาในทันทีทน
่ ขึน ั ใดนะครับ