Professional Documents
Culture Documents
การศึกษาผลสั มฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่ วมมือเทคนิค STAD
ธีรวัฒน์ แสงศรี †,‡ และ บรรทม สุระพร
ภาควิชาคณิ ตศาสตร์ สถิติและคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
บทคัดย่ อ
การวิจยั ครั้งนี้ มีวตั ถุประสงค์ เพื่อเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน ทักษะการแก้ปัญหาทาง
คณิ ตศาสตร์ และความพึงพอใจ ระหว่างนักเรี ยนที่ได้รับการจัดการเรี ยนรู ้โดยวิธีสอนการแก้ปัญหา
ทางคณิ ตศาสตร์ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD กับ วิธี
สอนแบบปกติ ประชากรที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 ของโรงเรี ยนศรี
แก้วประชาสรรค์ ปี การศึ กษา 2559 จํานวนนักเรี ยน 34 คน เครื่ องมื อในการวิจยั ประกอบด้ว ย
แผนการจัดการเรี ยนรู ้ แบบทดสอบวัดพื้นฐานความรู ้ทางคณิ ตศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรี ยนก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
คือ ค่าเฉลี่ ยเลขคณิ ต ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ ยด้วยการทดสอบ
ที (t-independent samples test) ผลการวิจยั พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนและทักษะการ
แก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ เรื่ องอัตราส่ วนตรี โกณมิติ ของนักเรี ยนที่ได้รับการจัดการเรี ยนรู ้โดยวิธี
สอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค
STAD สู งกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบปกติ ที่ระดับนัยสําคัญ .05 และความพึงพอใจของนักเรี ยน
ที่ได้รับการจัดการเรี ยนรู ้โดยวิธีสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการ
จัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD เรื่ องอัตราส่ วนตรี โกณมิติ อยูใ่ นระดับพึงพอใจมากที่สุด
คําสํ าคัญ: การแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ตามแนวคิดของโพลยา การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD
2010 MSC: 97D40
1 บทนํา
การใช้วิธีจดั การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิค STAD เป็ นการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู ้ที่เน้นผูเ้ รี ยนเป็ นสําคัญ
ซึ่ งผูเ้ รี ยนได้ศึกษาเรี ยนรู ้เนื้ อหาในบทเรี ยนด้วยตนเองกับเพื่อนสมาชิ กในกลุ่ม มีการร่ วมกันแสดงความคิดเห็น
และช่ วยกันหาคําตอบของคําถามที่ ครู ผูส้ อนได้วางไว้ ทําให้ผูเ้ รี ยนแต่ ละคนมี ความเข้าใจเนื้ อหาและได้รับ
ความรู ้อย่างเท่าเทียมกันทุกคน ทั้งยังส่ งผลให้ผเู ้ รี ยนรู ้จกั ที่จะทํางานร่ วมกันกับผูอ้ ื่น มีปฏิสมั พันธ์ที่ดีกบั เพื่อน
†
ผูแ้ ต่งหลัก
‡
ผูพ้ ูด
อีเมล: hs3roh@gmail.com , bunthom.s@ubu.ac.th.
2 การดําเนินการวิจยั
2.1 ประชากรและกลุ่มเป้ าหมายที่ใช้ ในการวิจัย
ประชากรและกลุ่มเป้ าหมาย ของการวิจยั ครั้ งนี้ เป็ นนักเรี ยนชั้นมัธยมศึ กษาปี ที่ 5 ภาคเรี ยนที่ 1
ปี การศึกษา 2559 โรงเรี ยนศรี แก้วประชาสรรค์ อําเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จํานวน 34 คน โดยแบ่งออกเป็ น
2 กลุ่ มแบบคละความสามารถ เก่ ง ปานกลาง อ่ อน ให้มี ค วามสามารถใกล้เ คี ยงกันทั้ง 2 กลุ่ ม โดยใช้ผลจาก
การสอบวัดความรู ้พ้ืนฐานทางคณิ ตศาสตร์ ในการแบ่งกลุ่ม ซึ่ งสามารถแบ่งกลุ่มออกเป็ น กลุ่มทดลองจํานวน
15 คน และกลุ่มควบคุมจํานวน 19 คน
2.3.1 การเก็บรวบรวมข้ อมูล ผูว้ ิจยั ได้ทาํ การทดสอบวัดความรู ้พ้ื นฐานทางคณิ ตศาสตร์ กับ
กลุ่มเป้ าหมายจํานวน 34 คน ซึ่ งเป็ นนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 ที่กาํ ลังศึกษาอยู่ในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา
2559 โรงเรี ยนศรี แก้ว ประชาสรรค์ จัง หวัด ยโสธร โดยให้ น ั ก เรี ยนทํา แบบทดสอบวัด ความรู ้ พ้ื น ฐานทาง
คณิ ตศาสตร์ ที่ผวู ้ ิจยั สร้างขึ้น หลังจากนั้นนําผลคะแนนที่ได้มาเรี ยงลําดับคะแนนจากมากไปหาน้อย จะได้นกั เรี ยน
กลุ่มเรี ยนเก่ง 8 คน กลุ่มเรี ยนปานกลาง 18 คน และกลุ่มเรี ยนอ่อน 8 คน แล้วทําการจับสลากเพื่อแบ่งนักเรี ยน
กลุ่มเรี ยนเก่ง กลุ่มเรี ยนปานกลาง และกลุ่มเรี ยนอ่อน ออกเป็ น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง จํานวน 15 คน
ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย
กลุ่มเรี ยนเก่งได้แก่ นักเรี ยนที่สอบได้ลาํ ดับที่ 1, 3, 5, 8 กลุ่มเรี ยนปานกลางได้แก่นกั เรี ยนที่สอบได้ลาํ ดับที่ 14,
16, 17, 21, 22, 24, 26 และกลุ่มเรี ยนอ่อนได้แก่นก ั เรี ยนที่สอบได้ลาํ ดับที่ 28, 31, 32, 33 และกลุ่มควบคุม
จํานวน 19 คน ประกอบด้วย กลุ่มเรี ยนเก่งได้แก่นกั เรี ยนที่สอบได้ลาํ ดับที่ 2, 4, 6, 7 กลุ่มเรี ยนปานกลางได้แก่
นักเรี ยนที่สอบได้ลาํ ดับที่ 9, 10, 11, 12, 13, 15, 18, 19, 20, 23, 25 และกลุ่มเรี ยนอ่อนได้แก่นกั เรี ยนที่สอบได้
ลําดับที่ 27, 29, 30, 34 ผลจากการแบ่งนักเรี ยนออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จะได้นกั เรี ยน
ที่ มีระดับความรู ้พ้ื นฐานทางการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ ใกล้เคี ยงกันทั้ง 2 กลุ่ม แล้วทําการทดสอบก่ อนเรี ยน ด้วย
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนก่อนเรี ยนฉบับเดียวกันทั้ง 2 กลุ่ม หลังจากนั้นจึงดําเนิ นการจัดกิจกรรม
การเรี ยนรู ้ให้กบั นักเรี ยนทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้เวลาในการจัดกิ จกรรมการเรี ยนรู ้จาํ นวน 10
ชัว่ โมง โดยกลุ่มควบคุมใช้วิธีการสอนแบบปกติ ดําเนิ นการสอนโดยผูช้ ่ วยผูว้ ิจยั ส่ วนกลุ่มทดลองใช้วิธีสอน
การแก้ปัญ หาทางคณิ ต ศาสตร์ ตามแนวคิ ด ของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมื อ เทคนิ ค STAD
ดําเนิ นการสอนโดยผูว้ ิจยั แล้วทําการทดสอบหลังเรี ยนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนหลังเรี ยน
ฉบับเดี ยวกันทั้ง 2 กลุ่ม และให้กลุ่มทดลองตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ ที่ใช้วิธี
สอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD
เมื่ อ สิ้ น สุ ด การทดลอง นํา ข้อ มู ล ที่ ไ ด้จ ากการทดลองไปวิ เ คราะห์ ท างสถิ ติ เ พื่ อ สรุ ป ผลการทดลองตาม
วัตถุประสงค์ของการวิจยั ต่อไป
2.3.2 การวิเ คราะห์ ข้ อ มู ล ผูว้ ิ จัย ได้ด าํ เนิ นการวิ เ คราะห์ ข ้อมู ลเพื่ อเปรี ย บเที ย บผลสัม ฤทธิ์
ทางการเรี ยนหลังเรี ยนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ เรื่ องอัตราส่ วนตรี โกณมิติ ระหว่างนักเรี ยนที่
ได้รั บการสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิ ดของโพลยาร่ วมกับ การจัดการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมื อ
เทคนิ ค STAD กับ การสอนแบบปกติ โดยคํานวณหาค่าเฉลี่ยเลขคณิ ต ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความ
แตกต่ างของค่าเฉลี่ ยด้วยการทดสอบค่าที และทําการวิเคราะห์ความพึ งพอใจจากการตอบแบบสอบถามของ
นักเรี ยนที่ ได้รับการสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิ ดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้ แบบ
ร่ วมมือเทคนิ ค STAD เรื่ องอัตราส่ วนตรี โกณมิติ โดยคํานวณหาค่าเฉลี่ยเลขคณิ ต และส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
และนําไปเทียบกับเกณฑ์ที่ต้ งั ไว้
3 ผลการวิจยั
ผลการวิจยั ที่ได้มีดงั นี้
3.1 เปรี ยบเทียบผลสั มฤทธิ์ทางการเรี ยนหลังเรี ยน (Post–test) วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ อง อัตราส่ วน
ตรี โกณมิ ติ ระหว่างนักเรี ยนที่ ได้รับการสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ต ศาสตร์ ตามแนวคิ ดของโพลยาร่ วมกับ
การจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิค STAD กับ การจัดการเรี ยนรู ้แบบปกติ ปรากฏผลดังตารางที่ 1
กลุ่มตัวอย่ าง n x SD t
กลุ่มควบคุม 19 25.2632 14.7190
2.1466*
กลุ่มทดลอง 15 35.0667 11.0030
*มีนยั สําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 , t.05,32 = 1.6939
จากตารางที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนหลังเรี ยน (Post–test) วิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่ องอัตราส่ วน
ตรี โกณมิติ ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 ที่ได้รับการสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิดของ
โพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD สู งกว่า นักเรี ยนที่ได้รับการสอนแบบปกติ อย่างมี
นัยสําคัญที่ระดับ .05
กลุ่มตัวอย่ าง n x SD t
กลุ่มควบคุม 19 21.8947 13.9399
1.9712*
กลุ่มทดลอง 15 30.5333 10.8685
*มีนยั สําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 , t.05,32 = 1.6939
กลุ่มตัวอย่ าง n x SD t
กลุ่มควบคุม 19 3.3684 1.0116
2.1030*
กลุ่มทดลอง 15 3.9333 0.2582
*มีนยั สําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 , t.05,32 = 1.6939
ตารางที่ 4 การเปรี ยบเที ยบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนหลังเรี ยน (Post–test) ขั้นที่ 2 วางแผนแก้ปัญหา ระหว่าง
นักเรี ยนที่ได้รับการสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้
แบบร่ วมมือเทคนิค STAD กับ การสอนแบบปกติ
กลุ่มตัวอย่ าง n x SD t
กลุ่มควบคุม 19 6.8947 4.0674
1.4751
กลุ่มทดลอง 15 8.7333 2.9147
ตารางที่ 5 การเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนหลังเรี ยน (Post–test) ขั้นที่ 3 ดําเนิ นการตามแผน ระหว่าง
นักเรี ยนที่ได้รับการสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้
แบบร่ วมมือเทคนิค STAD กับ การสอนแบบปกติ
กลุ่มตัวอย่ าง n x SD t
กลุ่มควบคุม 19 7.2632 5.6159
1.6998*
กลุ่มทดลอง 15 10.3333 4.6853
*มีนยั สําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 , t.05,32 = 1.6939
กลุ่มตัวอย่ าง n x SD t
กลุ่มควบคุม 19 4.3684 4.0029
2.4323*
กลุ่มทดลอง 15 7.5333 3.4407
*มีนยั สําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 , t.05,32 = 1.6939
ลําดับ
ความพึงพอใจ 𝐱� SD ระดับ
ที่
1. ข้าพเจ้าและเพื่อนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้ร่วมกัน 4.73 0.46 มากที่สุด 4
2. ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ยอมรับความสามารถซึ่ งกันและกัน 4.60 0.83 มากที่สุด 6
3. ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอธิ บายและซักถามเพื่อนในกลุ่ม และทําให้ 4.53 0.64 มาก 7
เข้าใจมากขึ้น
4. เพื่อนในกลุ่มได้ช่วยเหลือซึ่ งกันและกัน ทําให้เกิดความสามัคคี 4.93 0.26 มากที่สุด 1
5. ข้าพเจ้ามีความสุ ขในการเรี ยนและชอบทํากิจกรรมร่ วมกับผูอ ้ ื่น 4.73 0.46 มากที่สุด 4
6. ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและได้ปฏิบต ั ิดว้ ยตนเอง 4.73 0.46 มากที่สุด 4
7. การเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD ทําให้เกิดความมัน ่ ใจ 4.67 0.49 มากที่สุด 5
ในตนเองและกล้าแสดงออกมากขึ้น
8. การเรี ยนรู ้เป็ นกลุ่มเล็กๆ แบบนี้ ทําให้ไม่อายที่จะซักถาม 4.73 0.59 มากที่สุด 4
ลําดับ
ความพึงพอใจ 𝐱� SD ระดับ
ที่
9.การเรี ยนรู ้เป็ นกลุ่มเล็ก ๆ แบบนี้ทาํ ให้ขา้ พเจ้าทําความเข้าใจโจทย์ 4.80 0.56 มากที่สุด 3
ได้ดีท้ งั จากการศึกษาด้วยตนเองและจากการอธิ บายของเพื่อน
ในกลุ่ม
10. ข้าพเจ้าและเพื่อนสมาชิ กในกลุ่มร่ วมกันศึกษาเงื่อนไขต่าง ๆ จน 2.87 0.35 มากที่สุด 8
สามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ออกมาเป็ นรู ปภาพ หรื อประโยค
สัญลักษณ์ได้
11. เมื่อข้าพเจ้าสามารถคิดคํานวณเพื่อหาคําตอบจากความสัมพันธ์ 4.67 0.49 มากที่สุด 5
หรื อประโยคสัญลักษณ์ได้ดว้ ยตนเอง หรื อเพื่อนคอยช่วยอธิ บาย
ในบางส่ วน
12. เมื่อได้คาํ ตอบแล้ว ข้าพเจ้าจะพยายามตรวจคําตอบอีกครั้งเพื่อ 4.60 0.51 มากที่สุด 6
ความมัน่ ใจในคําตอบ
13. ข้าพเจ้าจดจําขั้นตอนการแก้ปัญหาทั้ง 4 ขั้นตอนได้ดี และจะ 4.73 0.46 มากที่สุด 4
พยายามจะแก้ปัญหานั้นด้วยตนเองก่อนที่จะให้เพื่อนช่วยเหลือ
14. ข้าพเจ้ากล้าที่จะคิดและพยายามทําตามขั้นตอนการแก้ปัญหา 4.87 0.35 มากที่สุด 2
4 ขั้นตอนในการทดสอบเป็ นรายบุคคลท้ายคาบ
15. ข้าพเจ้ามีความภูมิใจกับผลงานกลุ่ม (คะแนนความก้าวหน้า) 4.93 0.26 มากที่สุด 1
ระดับเฉลี่ยรวมทั้ง 15 ข้อ 4.61 0.68 มากที่สุด -
จากตารางที่ 7 พบว่า ความพึ งพอใจต่ อวิชาคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยนนักเรี ยนชั้นมัธยมศึ กษาปี ที่ 5
ที่ ได้รับการสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิ ดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้ แบบร่ วมมื อ
เทคนิค STAD พบว่ามีค่าเฉลี่ยอยูท่ ี่ 4.71 ซึ่ งอยูใ่ นระดับ พึงพอใจมากที่สุด
4 สรุ ปผลการวิจยั
การวิจยั เรื่ อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ตามแนวคิดของ
โพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิค STAD ผูว้ ิจยั ได้สรุ ปผลของการวิจยั ในแต่ละประเด็น ดังนี้
4.1 ผลสั มฤทธิ์ทางการเรี ยนหลังเรี ยน ผลการวิจยั พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนหลังเรี ยน วิชา
คณิ ตศาสตร์เรื่ องอัตราส่ วนตรี โกณมิติ ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 ที่ใช้วิธีสอนการแก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์
ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD สู งกว่า การสอนแบบปกติ อย่างมี
นัยสําคัญที่ระดับ .05 สอดคล้องกับสมมติฐานในการวิจยั ที่ต้ งั ไว้ โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิ ตของกลุ่มทดลองเท่ากับ
35.0667 ส่ ว นเบี่ ย งเบนมาตรฐานเท่ ากับ 11.0030 และค่ าเฉลี่ ย เลขคณิ ต ของกลุ่ มควบคุ มเท่ า กับ 25.2632 ส่ ว น
เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 14.7190 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเลขคณิ ตของทั้งสองกลุ่มโดยใช้การ
ทดสอบที (t-test independent) พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนหลังเรี ยนของกลุ่มทดลองซึ่ งใช้วิธีสอนการ
แก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD สู งกว่า
กลุ่มควบคุมซึ่ งใช้วิธีสอนแบบปกติ อย่างมีนยั สําคัญที่ระดับ .05 การที่ผลการวิจยั เป็ นเช่นนี้ เพราะ วิธีสอนการ
แก้ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ตามแนวคิดของโพลยาร่ วมกับการจัดการเรี ยนรู ้แบบร่ วมมือเทคนิ ค STAD ที่ผวู ้ ิจยั สร้าง
เอกสารอ้างอิง
[1] กระทรวงศึกษาธิ การ. หลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุ งเทพมหานคร:
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. (2551), น. 13
[2] เดือนฉาย จงสมชัย. การพัฒนากิจกรรมการเรี ยนรู้ โดยใช้ วิธีการเรี ยนรู้ แบบร่ วมมือตามเทคนิ ค STAD
เรื่ อง สมการเชิ งเส้ นตัวแปรเดียว กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ คณิ ตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 (วิทยานิพนธ์
ปริ ญญามหาบัณฑิต). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 2554.
[3] นาฟี สาห์ เจะและ. ผลของการเรี ยนรู้ แบบร่ วมมือที่มตี ่ อผลสั มฤทธิ์ ทางการเรี ยนเรื่ องหน้ าที่พลเมือง
ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 (วิทยานิพนธ์ ปริ ญญามหาบัณฑิต). สงขลา: มหาวิทยาลัยสงขลา
นคริ นทร์ . 2554.
[4] บรรทม สุ ระพร. ผลสั มฤทธิ์ ทางการเรี ยนในวิชาสถิติเบือ้ งต้ นและความพึงพอใจของผู้เรี ยน เมื่อใช้ การจัด
กลุ่มเรี ยนรู้ เป็ นทีมเทคนิค STAD. วารสารวิทยาศาสตร์ มข., 43(3), (2558), น. 552-563
[5] สุ นิตย์ สัจจา. การพัฒนากิจกรรมการเรี ยนรู้ การแก้ โจทย์ ปัญหาการบวกและการลบ ตามแนวคิ ดของ
โพลยาโดยการเรี ยนรู้ แบบร่ วมมือ ของนักเรี ยนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรี ยนบ้ านโนนเกษตร
สํานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามหาสารคาม เขต 1 (วิทยานิพนธ์ ปริ ญญามหาบัณฑิต). มหาสารคาม:
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. 2554.
[6] อัจฉราภรณ์ บุญจริ ง. การพัฒนากิจกรรมการเรี ยนรู้ ที่เน้ นทักษะการแก้ ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ของนักเรี ยน
ประถมศึกษาปี ที่ 3 โดยใช้ ขั้นตอนการแก้ ปัญหาของ Polya (วิทยานิพนธ์ ปริ ญญามหาบัณฑิต). ขอนแก่น:
มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 2552.
[7] อัมพร ม้าคะนอง. ทักษะและกระบวนการทางคณิ ตศาสตร์ :การพัฒนาเพื่อพัฒนาการ (พิมพ์ ครั้ งที่ 2).
กรุ งเทพฯ: ศูนย์ตาํ ราและเอกสารทางวิชาการ คณะครุ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2553), น. 39.