Professional Documents
Culture Documents
แบบเขียนสั่งงาน
(Working Drawing)
2.1 วัตถุประสงค์
หลังจากจบบทเรียนนี้นักศึกษาต้องสามารถ
• อธิบายได้ว่าแบบสั่งงานมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
• อธิบายได้ว่าแบบสั่งงานมีรูปแบบและโครงสร้างเป็นอย่างไร
• อธิบายความหมายของแบบและองค์ประกอบที่ปรากฏในแบบสั่งงานได้
2.2 บทนำ
ในบทนี้ เราจะทำการศึกษาเกี่ยวกับ รูปแบบที่ มี การใช้ งานจริง ของแบบเขียนวิศวกรรมโดยเฉพาะ
ในงานวิศวกรรมเครื่องกลที่ต้องมีการจัดทำชิ้นงาน (Parts) หรือชิ้นงานประกอบ(Assemblies) หลังจาก
ที่ เราพร้อมที่ จะทำการสร้างชิ้นงานหรือ ชิ้นงานประกอบแบบจะต้องถูก จัดทำในรูปแบบเป็นทางการ
เป็นไปตามมาตรฐาน เนื่องจากในการผลิตและตลอดอายุการใช้งานมีผู้ที่ต้องอ่านแบบและดำเนินการ
ตามแบบและใช้ แบบเป็น จำนวนมาก ในการผลิต นั้น บางครั้ง จำเป็น ต้องส่ง แบบให้ ผู้ผลิต หลายราย
ทำการผลิตนอกจากนั้น แบบที่ ส่ง ให้ ผู้ผลิตแต่ละราย ยัง อาจมี จำนวนผู้ ที่ มี ส่วนเกี่ยวข้องในการผลิต
หรือ ตรวจสอบอีก เป็น จำนวนมากและเมื่อ ชิ้นงานถูก จัดทำจนเสร็จสิ้น ลง ผู้ ตรวจสอบชิ้นงานก็ ต้อง
ทำหน้าที่ตรวจสอบชิ้นงานให้ได้ตรงตามที่แบบระบุต่อมาในขั้นตอนของการประกอบผู้ประกอบก็ต้อง
ทำการประกอบตามที่แบบระบุเช่นกันหลังจากนั้นเมื่อนำชิ้นงานไปจัดจำหน่าย ผู้จัดจำหน่ายก็ต้องการ
แบบเพื่อ การจัดทำคู่มือ การบริการหลัง การขายหรือ การซ่อมบำรุง แบบเขียนจึง ต้องมี ความสมบูรณ์
ในตัว ไม่มีความคลุมเครือหรือทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสนสามารถถูกตีความได้เป็นอย่างเดียวไม่ว่า
ใครจะเป็น ผู้อ่านแบบ และไม่ ต้องมี การอธิบายเพิ่มเติม จากผู้เขียนหรือ ผู้ออกแบบจะเห็นได้ว่า แบบ
เขียนที่ ถูก ใช้ งานจริง นอกจากต้องมี ข้อมูล ที่ จำเป็น สำหรับ การผลิต แล้ว ยัง ต้องมี ข้อมูล อื่น ๆ อีก
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการข้างต้น และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องมีความรู้ความเข้าใจในแบบเขียนอย่าง
ถ่องแท้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะวิศวกรผู้ออกแบบหรือผู้ผลิต
2.3 องค์ประกอบของแบบสั่งงาน
หลังจากตัดสินใจที่จะมอบหมายหรือว่าจ้างให้ทำการผลิตชิ้นงานหรือชิ้นงานประกอบผู้ออกแบบ
จะต้องจัดทำเซตของเอกสารแบบเขียนที่ เป็นทางการ ซึ่ง เรียกกัน ว่า แบบสั่ง งานให้ กับ ผู้ ที่ จะทำการ
3
แบบเขียนสั่งงาน
4 (Working Drawing)
ผลิต แบบสั่ง งานจะต้องมี ข้อมูล ที่ ครบถ้วนและชัดเจนเช่น รูป ด้านที่ จำเป็น ของชิ้นงาน เพื่อ แสดง
รูปร่าง รูปลักษณ์ ขนาด ข้อมูลเกี่ยวกับเกณฑ์ความคลาดเคลื่อนจำนวนชิ้นงานที่ต้องการผลิต วัสดุ
ที่ ใช้ วิธีการผลิต และวิธีการประกอบและหากแบบสั่ง งานที่ ถูก ส่ง ให้แก่ ผู้ ผลติ มี ความสมบูรณ์ จริง
ผู้ผลิตที่มีเครื่องมือและทักษะในการผลิตพร้อมต้องสามารถทำการผลิตได้ โดยไม่ต้องมีการสอบถาม
ข้อมูลเพิ่มเติม จากผู้ออกแบบวิศวกร หรือผู้เขียนแบบ เซตของเอกสารงานแบบสั่งงานนี้แสดงได้ดัง
ตัวอย่างในรูปที่2.1 โดยโครงสร้างชั้นบนสุดคือแบบแสดงการประกอบหลัก(Main Assembly Draw-
ing) ของชิ้นงานประกอบ แบบแสดงการประกอบนี้ จะแสดงให้ เห็น วิธีการประกอบชิ้นงานประกอบ
หลักและแสดงให้เห็นว่าหลังจากการประกอบชิ้นงานจะมีลักษณะอย่างไร ชิ้นงานประกอบหลักนี้อาจ
ประกอบกัน ระหว่างชิ้นงานประกอบย่อย(Subassembly) และ/หรือ ชิ้นงานเดี่ยว (Part) ที่ อาจเป็น
ชิ้นงานที่ต้องจัดทำขึ้นเองหรือชิ้นงานมาตรฐานซึ่งมีจัดจำหน่ายอยู่แล้วในท้องตลาด (Standard Part-
s, Comercial Parts) ตัวอย่างเช่น โบลท์ นัท สกรู แหวนรอง หมุดย้ำ เป็นต้นแบบแสดงรายละเอียด
ของชิ้นงานย่อยแต่ละชิ้น เช่น ขนาด กรรมวิธีการผลิตเกณฑ์ความคลาดเคลื่อน จะถูกแสดงในแบบ
แสดงรายละเอียด องค์ประกอบหลักของแบบสั่งงานเพื่อการผลิตมีดังนี้
1. หน้าปก (Cover)
2.4 ขนาดกระดาษแบบ
การวางแนวกระดาษวางได้ 2 ลักษณะดังนี้
1. Lanscape เป็นการวางกระดาษให้ด้านยาวของกระดาษไว้ในแนวระดับ
2. Portrait เป็นการวางกระดาษให้ด้านยาวของกระดาษไว้ในแนวดิ่ง
มาตรฐานของขนาดกระดาษแบบที่มีการใช้งานกันอยู่เป็นจำนวนมาก แบ่งเป็นขนาดกระดาษตามIn-
ternational sheet sizes และ US sheet sizes
1. Border
กรอบของกระดาษเขียนแบบที่ถูกแสดงด้วยเส้นทึบเพื่อกำหนดขอบเขต
2. Location grid
ตัวอักษรกริดที่กำหนดขึ้นเพื่อระบุพื้นที่หรือตำแหน่งบนแบบ
• Units
เป็น ส่วนที่ บอกหน่วยที่ ใช้ สำหรับ การกำหนดขนาดในแบบ หน่วยที่ ใช้ งานในแบบอาจ
เขียนด้วยตัว เต็ม หรือ ตัวย่อ เช่น MM (millimeters), M (Meters), IN (inches) หรือ
FT (feet) ตัวอย่างการกำหนดหน่วยแสดงดังในรูปที่2.4
• Type of Projection
เป็น ส่วนที่ ให้ ข้อมูล ประเภทของการฉายภาพ ในกรณี ของการแสดงภาพแบบออร์โธกรา
ฟิคซึ่งสามารถแสดงได้โดยใช้วิธีการฉายแบบมุมมองที่หนึ่ง หรือมุมมองที่สามการใช้สัญลักษณ์
แสดงประเภทของการใช้แสดงดังในรูปที่ 2.4
• Scale
เป็นส่วนที่บอกมาตราส่วนของขนาดจริง (ตัวเลขบอกขนาดที่ปรากฏในแบบ) ของชิ้นงาน
ต่อ ขนาดที่ วัดได้ ในแบบเมื่อ ทำการพิมพ์ แบบเขียนลงบนกระดาษแบบ full size ตามที่
ระบุในแบบ ดังแสดงในรูปที่2.4
• Owner
เป็น ส่วนที่ ระบุ หน่วยงานที่ เป็น เจ้าของแบบ บางครั้ง เพื่อ ป้องกัน การละเมิด สิทธิ์ อาจมี
ส่วนของการระบุข้อความเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิ์ ดังแสดงในรูปที่2.5
• Part number
เป็นรหัสของชิ้นงาน ที่ประกอบด้วยกลุ่มของตัวอักษรและ/หรือตัวเลข ชิ้นงานหนึ่งชิ้นจะ
มีPart number เพียงอันเดียว และหากมีการสั่งทำชิ้นงานที่มีลักษณะเหมือนกับชิ้นงาน
ชิ้นนี้ทุกประการชิ้นงานนั้น ๆ ก็จะมี Part number เหมือนกับชิ้นงานต้นฉบับด้วย ทั้งนี้
เพื่อมั่นใจได้ว่าหากมีการจัดทำหรือสลับสับเปลี่ยนชิ้นงานที่มี Part number ตัวเดียวกัน
จะต้องสามารถทำซ้ำ และทดแทนกัน ได้ 100 % เช่น เดียวกัน ในกรณี ชิ้นงานประกอบ
มี การระบุ Part number เพื่อ กำหนดรหัส ทั้งนี้ เพื่อ การทำซ้ำ หรือ การสลับ สับเปลี่ยนทั้ง
ชุดของชิ้นงานประกอบชุดนั้นๆ ซึ่งจะทำให้สะดวกมากขึ้น ตัวอย่างพื้นที่สำหรับการระบุ
Part number แสดงดังในรูปที่ 2.6
• Part name
เป็นการระบุชื่อเรียกของชิ้นงาน หรือชิ้นงานประกอบ ตามหน้าที่การทำงานหรือตามลักษณะ
ของชิ้นงาน เช่น L-Bracket, Base Plate หรือ Pillow Bock เป็นต้น ชื่อเรียกนี้สามารถ
มีการใช้ซ้ำกันได้ แม้ว่าชิ้นงานจะไม่ได้เหมือนกันทุกประการแต่ต้องระวังว่าในกรณีที่ไม่
เหมือนกันทุกประการนี้ Part number ต้องไม่ซ้ำกันในกรณีที่ชิ้นงานใดมีรายละเอียดมาก
จนไม่สามารถแสดงรายละเอียดได้ครบถ้วนในแบบหนึ่งแผ่นสามารถทำการเพิ่มเติมแบบ
แผ่นอื่นได้ โดยการระบุหน้าบนแบบว่าเป็นหน้าที่เท่าไรจากจำนวนแบบแสดงรายละเอียด
ของชิ้นงานนี้ทั้งหมดเท่าไร ดังแสดงในรูปที่2.6
รูปที่ 2.6: แสดงพื้นที่สำหรับการระบุ Part number, Part name, EC, Next Assembly และ Q/M
– Material วัสดุที่ใช้สำหรับขึ้นรูปชิ้นงาน
– Hardness ความแข็งผิวชิ้นงาน
– Surface Threatment กระบวนการตกแต่งผิวชิ้นงาน
– Default tolerances and Edge/Conrner Breaks หากไม่ มี การกำหนดเป็น อื่นใดใน
แบบเกณฑ์ความคลาดเคลื่อนและการลบเหลี่ยมลบมุมของชิ้นงาน
2.6 แบบแสดงการประกอบ
แบบแสดงการประกอบมีไว้เพื่อแสดงให้เห็นวิธีการประกอบ และลักษณะของชิ้นงานหลังจากทำ
การประกอบและพร้อมใช้งานแบบแสดงการประกอบเหล่านี้จะไม่ปรากฏรายละเอียดอื่นใด เช่น ขนาด
วัสดุ ที่ ใช้ เกณฑ์ ความคลาดเคลื่อน หรือ กรรมวิธี การผลิต แบบแสดงการประกอบสามารถแบ่ง เป็น
ประเภทได้ดังนี้
เพื่อการแสดงให้เห็นตัวอย่างการเขียนแบบแสดงการประกอบ และประเภทและความแตกต่างระหว่าง
ประเภทของแบบแสดงการประกอบจะใช้ตัวอย่างของการสั่งผลิต Vise Clamp ดังแสดงในรูปที่ 2.9
2.8 แบบแสดงรายละเอียดสำหรับการผลิต
เป็นพื้นที่แสดงรายละเอียดส่วนรูปลักษณ์และขนาดของชิ้นงาน หรือชิ้นงานประกอบที่จะทำการจัดทำ
โดยใช้ภาพฉายรูปด้านให้ตรงตามหลักของการภาพฉาย ซึ่งโดยธรรมเนียมปฏิบัติจะใช้รูปด้าน3 ด้าน
คือ ด้านบน ด้านหน้า และด้านข้าง อย่างไรก็ตามการปฏิบัตินี้ไม่ใช้ข้อบังคับแต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
ตัวอย่างเช่น ชิ้นงานที่มีความหนาคงที่ การใช้รูปด้านเพียงสองด้านก็เพียงพอต่อการให้รายละเอียด
จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มรูปด้านที่เหลือ ตรงกันข้ามกับชิ้นงานที่มีความซับซ้อนรูปด้านพื้นฐานที่ได้แสดง
อาจมีส่วนถูกซ่อนที่แสดงด้วยเส้นประ อาจมีเป็นจำนวนมากจนทำให้สับสนหรือไม่สามารถให้ขนาด
ได้ชัดเจน ในกรณีนี้จำเป็นต้องเพิ่มรูปด้านอื่นๆ หลักการทั่วไปของการเลือกจำนวนรูปด้านมีดังนี้
ซ่อน(เส้นประ)
3. ในกรณีที่เส้นขอบจำนวนมากไม่สามารถปรากฏเห็นเป็นเส้นจริงในมุมมองมาตรฐานให้ใช้มุมมอง
ภาพช่วยแสดงลักษณะของขอบเหล่านี้ เพื่อให้เห็นขอบที่ปรากฏเห็นความยาวจริง
4. หากรูปลักษณ์ภายในถูกบังหรือถูกแสดงด้วยเส้นประเป็นจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องเพิ่มภาพ
ตัดเพื่อแสดงลักษณะภายในและลดการแสดงด้วยเส้นประ
5. ใช้ วิธีการ note สำหรับ บอกลักษณะและขนาดของรูปลักษณ์ ที่ เป็น มาตรฐาน เช่น การคว้านรู
แบบต่าง ๆ หรือการจัดทำเกลียวมาตรฐานบนชิ้นงาน เพื่อลดความสับสนจากเส้นที่เกิดเนื่องจาก
การบอกขนาดเป็นจำนวนมาก
6. หากมีบางรูปลักษณ์ที่มีรายละเอียดมากจนแสดงด้วยมาตรส่วนเท่ากันกับรูปลักษณ์อื่นไม่ได้ให้
เพิ่มรูปของบริเวณดังกล่าวด้วยมาตราส่วนที่เหมาะสม
สำหรับ ผู้ ที่ มี ประสบการณ์ และคุ้นเคยกับ งานแบบเป็น อย่างดี หลักการเหล่านี้ จะถูก นำมาปฏิบัติ โดย
ธรรมชาติและข้อสรุปของหลักการดังกล่าวสามารถสรุปได้อย่างง่าย ๆ ว่า “เริ่มต้นด้วยรูปด้านมาตรฐาน
หลังจากนั้นเพิ่มรูปด้านที่จำเป็น หรือลดรูปด้านที่ไม่จำเป็น เพื่อการบรรยายหรือให้รายละเอียดของ
ชิ้นงานที่ชัดเจนมากที่สุด” ตัวอย่างของแบบแสดงรายละเอียดสำหรับการผลิตของ Vise Camp แสดง
ดังในรูปที่2.14 - 2.16
2.9 ข้อควรระวังในการจัดทำแบบสั่งงาน
การจัดทำแบบสั่ง งานจะต้องใช้ ความประณีต และระมัดระวัง เพื่อให้ เกิด ความผิด พลาดและการ
ตกหล่นของข้อมูลให้น้อยที่สุดซึ่งข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้
• ให้ขนาดบนภาพพิคทอเรียลแทนการใช้รูปด้านแบบออร์โธกราฟิค ดังแสดงในรูปที่2.19
• วางรูปด้านแบบออร์โธกราฟฟิคไม่เหมาะสมทำให้เกิดความไม่ชัดเจน ดังแสดงในรูปที่2.20
• วางตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมแก่องค์ประกอบของการกำหดขนาด ดังแสดงในรูปที่2.21
• แสดงรายละเอียดของชิ้นงานหลายชิ้นในแบบแผ่นเดียวกัน ดังแสดงในรูปที่2.31
• ใช้การเขียนด้วยมือเปล่าในแบบที่พิมพ์ดว
้ ยคอมพิวเตอร์ ดังแสดงในรูปที่2.33
(a)
(b)
(a)
(b)